ช่วงนี้ต้องยอมรับว่าด้วยภาระงาน เรื่องราวต่างๆที่แวะเวียนมาเยี่ยม ในช่วงที่ผ่านมา ทำเอาจิตใจหลุดออกไปจากสภาวะปกติ ที่เคยเป็นไปมากทีเดียว
สภาวะที่ตื่นรู้ รู้ตัวทุกๆขณะที่แท้จริง(ช่วงที่ทำได้มาก)
แต่ตอนนี้รู้ตัว รู้สึกว่ามันล่องลอย และตามไม่ค่อยจะทันนัก
แต่เมื่อเทียบกับแต่ก่อนแล้ว อาจจะใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าที่เราจะรู้ตัวและกลับมาสู่วิถีเดิมที่ดีงาม นั่นคือวิถีของนักปฏิบัติ เพื่อที่จะเพิ่มระดับของความเข้าใจ ความรู้เท่านันต่อเรื่องต่างๆที่มากระทบ(สติ ปัญญา)
วิถีเดิมที่นำสู่การปฏิบัติ
- นั่งสมาธิตอนเช้าก่อนที่จะตื่น
- ออกจากสมาธิแล้วสร้างจุดมุ่งหมายทางธรรมประจำวันนั้นๆ
- บันทึกอารมณ์ จิต ความคิด เป็นอักษร เพื่อติดตาม ย้อนมาทบ
ทวนถึงความเปลี่ยนแปลง ความก้าวหน้าหรือถดถอยของจิต
- เจริญกายานุปัสติช่วงเช้าๆ ที่เราต้องทำ ให้รู้ๆๆทุกๆอย่างมากที่สุด
-เดินไปทำงานก่อนขึ้นตึกให้รู้ว่าเรากำลังก้าวอย่างไร กำหนดที่การเดิน และสิ่งที่เห็น(จะได้ไม่ลืมทักทายผู้คน)
-ทำงานด้วยจิตที่เป็นสุข สบายๆ ไม่บีบคั้น อยู่กับปัจจุบัน
-ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นคน เรื่องราว ให้เหมาะสมและถูกต้องที่สุด
-พักเที่ยงปล่อยวางสบายๆ อยู่กับลูก สอนลูก เดินเล่น
- อาจจะนอนท่าศพ กำหนดสติก่อนไปทำงานต่อตอนบ่าย 10-20 น.
-อ่านหนังสือธรรม ทบทวนหลักธรรม ในช่วงเย็น
- นั่งสมาธิช่วงก่อนนอน
- เขียนบันทึกเรื่องการปฏิบัติเพื่อแลกเปลี่ยนกับอาจารย์และผู้รู้ทั่วไป เพื่อนำมาต่อยอดการปฏิบัติ
เป็นเรื่องเล่าของแนวการปฏิบัติง่ายๆทั่วไปครับ หลายคนคงมีแนวทางของตนเอง ก็มาแบ่งปันได้นะครับ จะได้นำมาประยุกต์ใช้เพิ่มเติม
เพราะมีความเชื่อว่า แม้ว่าเราจะรู้อะไรมากมาย แต่ถ้าไม่รู้จักตนเองให้ดีพอแล้วก็เหมือนกับเสียเวลา เสียโอกาสไป จึงต้องเรียนรู้ตนเองไปด้วยควบคู่กันกับการเรียนรู้และเข้าใจโลกภายนอก
พยามเชื่อมโยงโลกภายนอกเข้ามาทำให้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจภายในตัวตนของเรามากยิ่งๆขึ้น
สวัสดีค่ะคุณหมอ
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีค่ะ ชื่อฝนนะคะ ได้อ่านแล้วรู้สึกยินดีในจิตอันเป็นกุศลค่ะ
ขออนุโมทนาในวิถีทางปฏิบัติด้วยนะคะ
ฝนเป็นผู้หนึ่งที่กำลังพยายามอยู่ค่ะ
ขอให้ฝนได้เจริญในธรรมเช่นคุณบ้างนะคะ
สาธุ...
เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ปฏิบัติธรรมอย่างตั้งใจจริงในการขัดเกลาตนเองว่า รู้ตัวเมื่อหลุด แล้วยอมรับ หลุดร้อยครั้งก็เรียกกลับมาร้อยครั้ง คงยากมากสำหรับผู้ที่ทำงานที่จะจดจ่ออารมณ์เหมือนระหว่างในการปฏิบัติธรรม
ตัวเองก็ไม่สามารถทำได้ตลอดเวลาหรอกค่ะ แต่เจริญสติทุกครั้งที่นึกได้ แต่พยายามดูจิตเวลามีสิ่งกระทบ ไม่ว่าจะสั่งงาน หรือพูดคุย และแม้แต่ดูทีวีหรืออ่านหนังสือ รู้สึกว่าจะทำให้เห็นชัดว่าเรามีสติแค่ไหน เราอยู่เหนือจิตแห่งการปรุงแต่งหรือเปล่า
ก็ไม่ทราบว่าที่ทำอย่างนี้ถูกหรือไม่แต่มันทำให้ระมัดระวังได้ดี บางทีเผลอปรุงแต่ง (จะเผลอบ่อยเวลาสนทนาแสดงความคิดเห็นกับคนข้างกายซึ่งเขาชอบคิดว่าความคิดของเขานั้นดีและถูกต้อง) พอรู้ปั๊บว่าหลุดดึงกลับมาทันทีในเสี้ยววินาที จะขำตัวเองมากเลยค่ะ
ปฏิบัติธรรมก็สนุกและขำได้นะคะ
สวัสดีค่ะ น้องชายที่รัก
พี่มีอีกวิธีหนึ่งมาแลกเปลี่ยน นะ..คือเมื่อเราดำดิ่ง..เหมือนยากจะดึงกลับ ..ให้ลองมาใช้อีกวิธีหนึ่งนะคะ ..
เมื่อมีเหตุปัจจัย ..สิ่งรบกวนใจ ..ให้รับรู้ว่ามันมีอยู่จริง อย่าปฏิเสธ..การมีอยู่ ของมัน และ ..ไม้ต้องดึงจิตกลับค่ะ ..ตามความคิดไปให้มันสุด ๆ ภายใต้สภาวะที่ตื่น ..คิดตามว่ามันคืออะไร ..เรารู้สึกอย่างไร ..ความรู้สึกนี้ทำให้เรารู้สึกอย่างไร ..อะไรทำมันกระทบเราได้มากขนาดนี้ ก้อนน้ำแข็งของเรามันคืออะไรซ่อนอยู่ ..เราคาดหวังอะไรจากตัวเอง ..จากคนอื่น ..เราเห็นตัวตนที่แท้จริงเราเป็นอย่างไร ..และสุด้าย ถามตัวเอง ว่าเราต้องการอะไร ..มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงได้ แล้วทำให้เราสุขใจขึ้น ..
ถ้าเราคิดทะลุ ..แทนที่จะเก็บงำ ซ่อนเงื่อน ..มันจะเป็นหลุดพ้น ..ความโล่งสบาย..ตอบ ความขัดแย้งในใจเราได้ ..
วิธีนี้ไม่เหมาะกับคน poor insight , หลงตัวเอง และ/หรือ มี flight of idea ค่ะ
ไม่รัก ไม่บอกนะเนี่ย ..เอิ้ก ๆๆ...
พบกันวันละหลายรอบ !!
ชีวิตคนเราหมุนเวียนเปลี่ยนไป
จิตใจคนนั้นไซร้ แปลเปลี่ยนได้เพียงเสี้ยววินาที
เป็นกำลังใจให้แก่กันตลอดเวลา .....ได้ทำในสิ่งที่ดี
ได้ทำในสิ่งที่งาม สิ่งที่ควร ....ความสุข....และ
ความภาคภูมิใจใด ๆ ไม่เทียมเท่า....
เป็นกำลังใจให้เสมอ...ครับ
เห็นการเติบโตของเพื่อนเราแล้วรู้สึกดีจริงๆ