มีคำถามเกิดขึ้นมา คือ
องค์ประกอบของคณะ เป็นอุปสรรคต่อการทำ KM หรือไม่?
องค์ประกอบของคณะในที่นี้หมายถึง การจัดองค์กรแบบเป็น "ภาควิชา" อย่างที่เป็นในปัจจุบัน เช่น Department of Anatomy, Department of Pharmacology, หรือ Department of Biochemistry เป็นต้น
หากมองลงไปถึงระดับอาจารย์ที่อยู่ในแต่ละภาควิชา จะพบลักษณะของ multidisciplinary อยู่ในอาจารย์แต่ละคน อาจารย์ท่านหนึ่งๆอาจจะจบด้านที่ไม่เดี่ยวข้องโดยตรงนักกับชื่อภาควิชาเลย อาจารย์ที่มีความสามารถด้าน molecular biology หรือ cloning หรือ genetics ซึ่งทำงานได้หลายด้าน หรือมีศักยภาพที่จะขยายงานได้หลายด้าน อาจจะอยู่ในภาควิชาที่ชื่อของภาควิชาไม่ได้สื่อถึงเลย
นักศึกษาระดับ ป.โท และเอกที่เข้ามาในภาควิชานั้นจึงอาจไม่มีความสนใจในงานที่อาจารย์ท่านนั้นๆทำอยู่ แต่ถ้าอาจารย์ท่านนั้นไปอยู่อีกภาควิชาหนึ่ง งานอาจจะได้รับความสนใจมากกว่า
อันนี้เป็นเพียงประเด็นหนึ่ง
อีกประเด็นหนึ่งที่สอดคล้องกันคือ การที่อาจารย์แต่ละภาควิชาที่สนใจในเรื่องคล้ายๆกันจะได้มีโอกาสทำงานร่วมกันได้ง่ายขึ้นนั้น การสลายภาควิชา (ในเชิงรูปธรรมหรือในเชิงการบริหาร) แต่รวมสาขาวิชาหรือผู้ที่มีงานในทำนองคล้ายคลึงกันเข้าไว้ (อาจจะในรูปกึ่งนามธรรม) ที่เปิดโอกาสให้มีการสร้าง network ทั้งในการวิจัยและการสอนระดับบัณฑิตศึกษาได้อย่างยืดหยุ่น น่าจะมีประโยนช์กว่า
ทั้งยังช่วยให้สามารถรวบรวมองค์ความรู้ให้เกิดขึ้นและสานต่อได้ง่าย นักศึกษาที่เข้ามาทำวิจัย ก็จะมีความหลากหลาย เช่นนักศึกษาที่จบ computer อาจเข้ามาทำวิจัยด้าน bioinformatics ของโรคทางสมองเป็นต้น
แนวทางเช่นนี้ ได้เกิดขึ้นมานานแล้วในประเทศตะวันตก เช่น ประเทศอังกฤษ สำหรับประเทศไทยมหาวิทยาลัยบางแห่งก็ได้นำมาใช้แล้ว
กราบเรียน ท่านอาจารย์
เรียนอาจารย์
อ่านแล้ว เข้าใจครับ เป็นเรื่องธรรมดาของวิถีของโลก เรื่องบางเรื่องถ้าเราไม่นำมาคิดก็สุขสบายดีครับ
ผมมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับที่อาจารย์กำลังทำอยู่ครับ เป็นเรื่องเกี่ยวข้อง KM หรือระบบที่ผมทำไว้ให้ผู้รู้ ต่างๆ เอาไว้ใช้เป็นเครื่องมือในการวิจัย สำหรับการต่อยอดความรู้ และสำหรับการพัฒนาประเทศต่อไปครับ เครื่องมือที่ว่าผมเรียกว่า EIMS ซึ่งล้อมาจาก EIS หรือเรียกว่า Expert Information System หรือจะเรียกว่า Expert System:ES ก็ว่าได้
ลักษณะพิเศษของระบบที่ผมทำไว้ อาจไม่ถึงขั้น ES แต่ก็น่ามีลักษณะการใช้งานทัดเทียมกันได้ เพราะ
เป็นเครื่องมือที่สามารถประยุกต์การใช้งานได้หลายประเภท
เป็นเครื่องมือที่สามารถประมวลผลและประเมินผลได้ ในรูปแบบของวิเคราะห์คือ เหตุ และ ผล
EIMS ยังเป็นกลไกธรรมดา ที่รอการบันทึกความรู้ รอการนำไปใช้ประโยชน์อย่างแพร่หลาย
ความสามารถในระดับสูงสุดที่สามารถทำได้คือ
ฐานความรู้ A + ฐานความรู้ B = ฐานความรู้ใหม่
หมายถึง ถ้าการประเมินผล A และ การประเมินผล B แล้วจึงเกิดความรู้ใหม่ขึ้นมา ซึ่งการจัดการแบบนี้สามารถสร้างสูตรขึ้นมาได้ และ สามารถนำไปทดลองใช้กับกรณีจริงได้
อาจารย์สนใจ อาจารย์ลองแวะเข้าไปดูที่ www.changhub.com รบกวนช่วยวิจารย์ด้วยครับ
เพราะผมคิดว่าเครื่องมือชุดนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศอย่างมาก เช่น มุมมองผม เราสามารถสร้างสรรค์ผลิตผลงานวิชาการ ที่สร้างนำไปใช้ได้จริง เพื่อให้บริการวิชาการแก่ต่างประเทศได้ครับ (ผมไม่ค่อยจะหวังใช้วิชาการภายในประเทศมากนัก อาจารย์ก็น่าจะทราบดี ว่านิสัยคนไทยเป็นอย่างไร) เพื่อสร้างรายได้แก่ประเทศชาติต่อไป