เช้าวันนี้หวนนึกถึงบรรยากาศเก่าๆของการทำวิจัยที่ผ่านมา หลายๆคนพยายามตอบคำถามว่า ทำไมถึงจะให้คนหันมาสนใจทำวิจัยกันมากขึ้น ไม่ต้องเอาอะไรมาก เอาเพียงแค่มองงานประจำของตัวเอง แล้วเริ่มต้นทำงานวิจัยโดยพัฒนางานประจำ เพียงเพื่อให้เขาเหล่านั้น ทำงานที่สบายขึ้น ดีขึ้น เร็วขึ้น มีข้อมูลชี้ชัดได้มากขึ้นเวลามีคนถาม ค่าใช้จ่ายน้อยลง และอีกสารพัดที่บอกให้รู้ว่า เราไม่ได้ทำแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ตามที่พี่เขาบอกมา......เอ.....แล้วทำไมคนจึงยังวนเวียนอยู่กับการทำงานแบบเดิมๆ ปัญหาเดิมๆ .......นี่ไงเจ้าตัวปัญหานี่ไง....น่าสนใจ
อาจเป็นเพราะเราเอาเวลาทั้งหมดของเราขลุกอยู่กับการทำงาน....อยู่ในงานทั้งชีวิตและจิตใจ สมเป็นผู้ใช้แรงงานที่ดีครับ เช้าตื่นขึ้นมาอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน แล้วเริ่มงานได้....จนถึงตอนเย็น ขอดูกระจกนิด แต่งเติมสีสันให้ปากให้แก้มอีกสักหน่อย...แล้วกลับบ้านได้....เวลาทั้งหมด หมดไปกับงานจริงๆ....แล้วทำอย่างนี้เห็นปัญหาของงานมั้ยครับ....ตอบได้เลยครับ....ว่าเห็น....แต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นเฉพาะเพียงปัญหาที่ไม่เป็นไปตามข้อตกลง เท่านั้นที่มองเห็น แล้วก็แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า.....อ้าว...แล้วมันมีปัญหาอะไรอีกหรือ? ......ก็ปัญหาของระบบไง.....แล้วคุณแน่ใจแล้วหรือยังว่า วิธิการที่คุณทำอยู่นี้ มันน่าจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด หรืออย่างน้อย ก็ยังไม่มีวิธีการอื่นที่ดีกว่าเท่าที่เราจะคิดออก....เอ...อย่างนี้ตอบไม่ได้ เพราะมัวแต่ทำงาน ยังไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้....นั่นแหละครับ ที่ผมพยายามจะบอก....คือเราเอาเวลาทั้งหมดของเรา ใส่เข้าไปในงาน แล้วขลุกอยู่กับงาน จนมองไม่เห็นปัญหาเชิงระบบ ....ถ้างั้นทำไงดีครับ.....ถ้างั้นก็ถอยออกมาสักก้าวสิครับ แล้วคุณจะเห็นโลกกว้างขึ้นอีกนิด ถ้ายังไม่พอ ก็สองก้าว สามก้าว สี่ก้าว ถอยไปจนคุณมองเห็นในมุมที่คุณพอใจ.....
เราน่าจะหาเวลาว่างๆ มานั่งคุยกันถึงวิธีการที่เราทำอยู่ในปัจจุบัน มันมีปัญหาอะไรที่เป็นวิกฤต หรือเป็นคอขวด แล้วมาหาวิธีการใหม่ในการแก้ไขปัญหาเดิมๆของเรา....อ้อถ้าเป็นไปได้....ลืมโครงสร้างเดิม ลืมวิธีการเดิม สลัดทิ้งความคิดเดิมๆให้หมด ปล่อยทุกอย่างให้โล่ง มีอิสระในการคิดให้เต็มที่ แล้วค่อยเริ่มต้น วาดฝัน วาดจินตนาการ ใส่ความคิดอิสระ ไม่ต้องสนใจว่าจะทำได้หรือไม่ ขอให้เป็นเพียงวิธีการแก้ไขปัญหาได้ก็พอ.....แล้วเราจะมีทางเลือกมากมาย....ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น จากนั้นจึงมาตัดสินใจเลือกทางที่ดีที่สุด คุ้มค่าที่สุด.... แต่ปัญหาที่ผมเจอในระดับนี้ มักจะเป็นการไม่สามารถสลัดความคิดเดิมๆออกไป ก็เลยเหมือนมีกรอบในการคิด การมีกรอบในการคิด ทำให้เราลดความคิดสร้างสรรค์ลงไปมาก เหมือนกับพายเรืออยู่ในอ่าง พายไป พายมา ยังไงก็วนอยู่ในอ่าง....ถ้าอยากจะออกจากอ่าง ก็คงต้องเริ่มต้น คิดแบบเด็กๆ ตรงไปตรงมา ไม่วกวน ไม่มีกรอบ ....แล้วหลายๆครั้งเราจะพบกว่าการคิดแบบเด็กๆนี่แหละที่แก้ไขปัญหาซับซ้อนของผู้ใหญ่มาได้มากต่อมาก ที่ผู้ใหญ่แก้ปัญหาที่ซับซ้อนของตัวเองไม่ได้ เพราะติดที่จะคิดอะไรแบบซับซ้อน ซึ่งซับซ้อนไปซับซ้อนมา ตัวเองก็เลยงง เหมือนเชือกพันกันวุ่นวาย....ลองเริ่มดูครับ...คิดแบบเด็กๆ ไม่มีกรอบ...จะเป็นจุดเริ่มต้นของความคิดสร้างสรรค์ที่คุณเองอาจประหลาดใจกับวิธีการใหม่ในการแก้ไขปัญหาเดิมๆ....
เย้ เย้ เย้ ดีใจ คุณครูไมโต มาสอนแล้ว
เข้าใจแล้วค่ะคุณครู..อยากอ่านเรื่องต่อไปค่ะ..คุณครู
หนูจะตั้งใจเรียนค่ะ..คุณครูไมโต..
ขอบคุณค่ะ
อยากให้มีการต่อยอดทางความคิดเรื่องการ"วิจัย" กันมากขึ้น เพราะในปัจจุบันหากเราจะสรางความรู้ใหม่ และ ยกระดับความรู้เดิม การวิจัยเป็นเครื่องมือที่สำคัญ
ผมจับใจความได้ ๒ ประเด็นครับ จากการอ่านบันทึก
งานวิจัยไม่ใช่เรื่องใหม่ เพียงแต่เป็นการใช้ศัพท์ในการสื่อความหมาย และต่อมาชื่อของมันก็ดูขลังจนเป็นงานของนักวิชาการ
งานวิจัยเป็นการตั้งคำถามเพื่อหาคำตอบ ทำไม อย่างไร?? และหากเป็นงานวิจัยเพื่อพัฒนา เรามีคำถามเพิ่ม ว่าเราจะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร??
สิ่งที่เป็นหัวใจของงานวิจัยก็คือ "กระบวนการ" เป็นหลักใหญ่ใจความที่จะทำให้เราได้ซึ่งคำตอบของคำถาม หากเราทำได้ดี แก้ไขปัญหาได้ เป็นเรื่องใหม่ อันนั้นเรียก "นวัตกรรม"
ถามต่อว่า "หลุดกรอบ" ดีมั้ย
หากเป็นกรอบการวิจัย ก็ควรมี แต่หากเป็นความคิดที่จะทำให้งานสำเร็จตามที่ตั้งคำถามไว้ต้อง อาศัยการมองแบบหลุดกรอบอย่างยิ่งยวด
นักวิจัยและนักพัฒนาจำเป็นต้องมีคุณสมบัติ
นี่เป็นคุณสมบัติหลักๆครับ ของนักวิจัย แต่หากเป็น นักวิจัยเพื่อพัฒนาที่ทำกระบวนการเชิง Action พลังภายในของนักวิจัยมีมากกว่านี้หลายเท่า
จากบันทึกนี้ผมคิดว่า เราคาดหวังจากการใช้งานวิจัยระดับใด..เพราะแต่ละระดับก็มีกระบวนการทำ เข้มข้น แตกต่าง กันครับ ใช้ competency ของคนต่างกันด้วย ทั้งความคิดและการปฏิบัติ
----------------------------------------------------
ผมไม่ทราบว่าข้อคิดเห็นนี้เชื่อมได้กับบันทึกหรือไม่นะครับ แต่เป็นมุมมองหนึ่งของนักวิจัยอิสระครับ
สวัสดีครับ
ครูขจิต
ครูอ้อย
ชอบบันทึกนี้จัง ดิบดี ตรงไป ตรงมา ไม่อ้อมค้อม แต่ชอบ comment ของครูอ้อยมากกว่า " เข้าใจแล้วค่ะคุณครู..หนูจะตั้งใจเรียนค่ะ..คุณครูไมโต.."
ที่ภาคฯ เราก็พยายามทำอยู่ บรรยากาศ R2R ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ถือว่า OK เลย เสียดายที่คุณไมโตไม่อยู่
คุณเอกครับ
สวัสดีครับ อาจารย์ปารมี
พ่อดอกมะลิเพื่อนฉัน