นี่คือ มหาวิทยาลัยจิ๋วแต่แจ๋ว เริ่มเปิดกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยปริญญาโท ในปีการศึกษา ๒๕๕๐ (เริ่ม ๑ ก.ย. ๕๐) ๒ หลักสูตร มีนศ.รวม ๓๖ คน
แต่จริงๆ แล้ว สถาบันอาศรมศิลป์ทำงานวิชาการ คือการวิจัยและการฝึกอบรมมาเป็นปี
ที่น่าสนใจคือ ท่าทีต่องานวิจัยของสถาบันอาศรมศิลป์ ไม่เหมือนงานวิจัยของมหาวิทยาลัยอื่นๆ มหาวิทยาลัยอื่นๆ มีท่าทีต่อการทำงานวิจัย ว่าเป็นการสร้างความรู้ให้ผู้อื่นใช้ แต่สถาบันอาศรมศิลป์มีท่าทีว่า ทำงานวิจัยเพื่อการเรียนรู้ของตัวเองและแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น นี่เป็นการตีความของผมซึ่งอาจจะผิดก็ได้
ผมเป็นถึงอุปนายกสภาสถาบัน แต่ไปร่วมประชุมสภาทีไร ผมรู้สึกเหมือนนักเรียนไปเข้าโรงเรียนวิธีคิดกระแสทางเลือก และวิธีคิดด้านในที่ ศ.ระพี สาคริก นายกสภา คอยย้ำอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนรู้จากความหลากหลาย
วิจารณ์ พานิช
๑๓ ก.ย. ๕๐
ดิฉันได้เข้าไปอ่านเรื่องราวของสถาบันอาศรมศิลป์ที่ http://www.arsomsilp.ac.th และอ่านเอกสาร Holistic education ที่อาจารย์เอามาเผยแพร่แล้ว มีความเห็นว่าเป็นแนวทางการจัดการศึกษาที่น่าสนใจมาก ตรงกับหลักคิดที่ว่าการศึกษาพัฒนาคน
จะพยายามศึกษาแนวคิดนี้ เพื่อเอาไปประยุกต์ในการจัดการเรียนการสอนต่อไป การเปิดหลักสูตรแบบเดิมๆ สอน-เรียนกันแบบเดิมๆ ไม่ทำให้เกิดความรู้สึกท้าทาย
ผมเห็นว่าน่ามาเน้นที่ป.ตรี มากกว่า ป.โท เพราะถึงป.โท ก็ "แก่เกินแกง"ไปแล้วแหละครับ
http://www.deepsprings.edu/home
ลูกคนรวย คนมีความรู้สูง "เสียเด็ก" มากมาย เพราะว่า รวยเกินไป...แถมมีลูกคนเดียว ก็ spoil กันตั้งแต่เกิด
คำถามคือจะทำอย่างไรให้เด็ก เน่าๆ เหล่านี้ได้กลับมาเป็นผู้เป็นคน เพื่อเป็นแกนนำสังคมต่อไป เพราะเด็กพวกนี้มี genes ดีเป็นรากอยู่แล้ว เพียงแต่สิ่งแวดล้อมทำให้เน่าไป
นี่คือการเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสที่สำคัญที่สุด ที่นักการศึกษาไทยไม่มีวันคิดออก
...คนถางทาง