โรคหวัดเป็นโรคที่พบได้ตลอดทั้งปี มักจะพบมากในช่วงฤดูฝน ฤดูหนาว หรือในช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง ส่วนในฤดูร้อนจะพบน้อยลง
โรคหวัดเกิดจากเชื้อไวรัส (virus) ซึ่งมีมากกว่า 120 ชนิด แต่โดยปกติการเกิดโรคหวัดแต่ละครั้งจะเกิดจากเชื้อไวรัสเพียงชนิดเดียว และเมื่อเป็นแล้ว ร่างกายคนเราจะมีภูมิต้านทานต่อเชื้อหวัดชนิดนั้น เมื่อเกิดการเจ็บป่วยครั้งใหม่ ก็จะเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดใหม่หมุนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
เชื้อหวัดมีอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย และเสมหะของผู้ป่วย สามารถติดต่อกันได้โดยการไอ จามหรือหายใจรดกัน นอกจากนี้ยังติดต่อโดยการสัมผัสมือ กล่าวคือ เชื้อหวัดอาจติดที่มือของผู้ป่วย เมื่อสัมผัสถูกมือของคนอื่น เชื้อหวัดก็จะติดที่มือของคนนั้นๆ และเมื่อใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะจมูก เชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายของคนนั้นๆ จนกลายเป็นไข้หวัดได้ ซึ่งเด็กมักเป็นผู้แพร่โรคหวัดไปยังสมาชิกอื่นในครอบครัว การแพร่เชื้อพบได้มากที่สุดในวันที่ 2 และวันที่ 4 ของการเป็นหวัด
อาการแสดงที่สำคัญ คือ มีน้ำมูกใส คัดจมูก ไอแห้งๆ หรือไอมีเสมหะเล็กน้อย ลักษณะสีขาว จาม ระคายคอ คอแห้ง หรือเจ็บคอเล็กน้อย อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ครั่นเนื้อครั่นตัว
ในผู้ใหญ่อาจไม่มีไข้ มีเพียงคัดจมูก น้ำมูกใส ส่วนในเด็กอาจมีไข้สูงและชัก ท้องเดิน หรือถ่ายเป็นมูกร่วมด้วย
ถ้าเป็นหวัดเกิน 4 วัน อาจมีน้ำมูกข้นเหลืองหรือเขียว หรือไอมีเสมหะเป็นสีเหลืองหรือเขียว ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย (bacteria)
คำแนะนำการปฏิบัติตัวของผู้ป่วย
1. พักผ่อนมากๆ หลีกเลี่ยงการทำงานหนักหรือออกกำลังกายมากเกินไป 2. สวมใส่เสื้อผ้าให้ร่างกายอบอุ่น ไม่ควรตากฝนหรือถูกอากาศเย็นจัด และไม่ควรอาบน้ำเย็น 3. ดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยลดไข้และทดแทนน้ำที่สูญเสียไปเนื่องจากไข้สูง 4. รับประทานอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย น้ำข้าว น้ำหวาน น้ำส้ม น้ำผลไม้หรือเครื่องดื่มร้อนๆ 5. หากไข้สูง ควรใช้ผ้าชุบน้ำอุ่น หรือน้ำธรรมดาที่ไม่เย็นจัดเช็ดตัว เพื่อช่วยลดไข้ 6. ควรพบแพทย์เมื่อ - มีไข้ 39 องศาเซลเซียส หรือมากกว่า - มีไข้นานเกิน 3-4 วัน - มีอาการเจ็บคอมาก และคอแดงมาก - มีอาการหอบ หายใจเร็ว - มีผื่น หรือจุดแดงๆ ขึ้นตามตัว - อาการของไข้หวัดอื่นๆ นอกเหนือจากที่กล่าวข้างต้น ไม่หายภายใน 7 วัน - เป็นโรคหืดหอบ โรคปอดเรื้อรัง โรคหัวใจ หรือกำลังตั้งครรภ์ |
ไม่มีความเห็น