จากที่สังเกตมาหลายวันนี้ ผู้เขียนทราบว่ามีสมาชิกหลายคนในสังคมแห่งนี้เจ็บไข้ได้ป่วยกันมาก บ้างก็ป่วยด้วยอากาศแปรปรวน บ้างก็ป่วยด้วยโรคประจำ บ้างก็อาหารเป็นพิษ ฯลฯ แต่ถึงป่วยกายอย่างไรก็พึงระวังอย่าให้ป่วยใจตามนะครับ เพราะจะยิ่งรักษายาก
แต่ถ้าใครรู้สึกว่าตัวเองป่วยหนัก และบ่นน้อยเนื้อต่ำใจในความอาภัพของตน ว่าทำไมต้องมาเกิดกับเรานะ หรือว่ารู้สึกว่าป่วยจนทำงานไม่ได้เลย เมื่อไรจะหายสักที ไม่อยากอยู่บนโลกอันโหดร้ายใบนี้แล้ว!
ถ้าใครรู้สึกประมาณที่ผู้เขียนอ้างไว้ข้างต้น วันนี้ลองมาอ่านประวัติของพระคุณเจ้าท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นพระที่มีผลงานทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเน้นหนักไปทางวิชาการเยอะมาก มากจนองค์กรยูเนสโกต้องมอบรางวัลให้ มากจนสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศต้องถวายปริญญาบัตรให้เป็นหางว่าว และผลงานชิ้นเอกที่ใครที่ศึกษาพระพุทธศาสนามิอาจมองข้ามคือหนังสือ พุทธธรรม
พระคุณเจ้าท่านนี้คือ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ครับ ลองอ่านและนับดูนะครับว่าท่านเป็นกี่โรค ลองจินตนาการดูว่าถ้าเกิดกับเราจะหนักหนาสาหัสขนาดไหน บางคนอาจอยากลาโลกไปเลยก็ได้ อ่านจบผู้เขียนหวังว่าหลายท่านคงมีกำลังใจขึ้นมาเป็นกองเลยเชียวครับ
ธรรมะสวัสดีครับ
ผู้มีประสบการณ์
ท่านเจ้าคุณฯ สุขภาพไม่ดีมาตั้งแต่เด็ก ป่วยกระเสาะกระแสะ เป็นโรคต่างๆ มากมายนับไม่ถ้วน เมื่อเป็นเด็กอ่อน ก็ป่วยเป็นไข้หนักจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด อายุไม่กี่ขวบเป็นโรคหัวใจรั่ว โตขึ้นมาอีกหน่อยก็เป็นโรคหูน้ำหนวก ทำให้เกิดพังผืดที่กล้ามเนื้อบริเวณท้ายทอยใกล้ๆ หู ที่เรียกว่ามัสตอยด์ (mustoid) มีอาการปวดตุบๆ เป็นพักๆ
ต่อมาได้ทุนมาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ก็ป่วยเป็นโรคท้องร่วง จนตกลงว่าจะเลิกเรียนหนังสือ แล้วมาบวชเป็นสามเณรอยู่ที่วัดในจังหวัดสุพรรณบุรี เมื่ออายุ ๑๒ อายุราว ๑๔-๑๕ ย้ายเข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพฯ ที่วัดพระพิเรนทร์ ก็ป่วยเรื่อยมา โรคที่เป็นบ่อยมากก็คือท้องร่วง
ครั้งจำเริญกาลย่างเข้าสู่วัยหนุ่ม ก็ป่วยด้วยโรคร้ายแรงคือวัณโรค ได้รับการรักษาจนหาย ต่อมาเป็นโรคแพ้อากาศ หายใจไม่สะดวก มีอาการคล้ายหอบหืด ต้องฉันยาแก้แพ้ประจำ บางครั้งต้องพ่นยาขยายหลอดลม เป็นนิ่วในกรวยไต นิ่วในถุงน้ำดี กล้ามเนื้อแขนขาอักเสบ หลอดลมอักเสบ ทอนซิลอักเสบ ตับไม่ปกติ ลำไส้พับ ไวรัสเข้าตา สายเสียงอักเสบ หลังอักเสบ เส้นเลือดไปเลี้ยงสมองตีบ โรคเกาต์ ฯลฯ นานาสารพัดโรค
ดูท่านมิได้เดือดเนื้อร้อนใจ กับโรคภัยไข้เจ็บของตัวเองแม้แต่สักนิด ราวกับว่าเป็นเรื่องที่แสนจะธรรมดา ท่านพูดเสมอว่า คุ้นเคยกับโรงพยาบาลมาก เข้าออกอยู่เป็นประจำมาตั้งแต่เด็ก ท่านยังบอกอีกว่า ก็ดีไปอย่าง ได้ประสบการณ์ดี เป็นโรคโน้นโรคนี้จนรู้ว่า อันว่าโรคต่างๆ นั้น เมื่อเป็นแล้วมันเป็นอย่างไร ของอย่างนี้บอกกันไม่ได้ ต้องเป็นเองถึงจะรู้.
คัดลอกจากหนังสือ วิถีแห่งปราชญ์ปฏิปทาจริยวัตรของ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)แหม !! คุณธรรมาวุธ..
สวัสดีครับพี่ธรรมาวุธ
สวัสดีครับ คุณ ธรรมาวุธ
ขอบคุณครับ บันทึกฉุกใจ
เหมาะกับช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง และภูมิต้านทานของคนลดน้อยถอยลง โดยเฉพาะภูมิคุ้มกันทางใจ
มองในสิ่งที่มันเป็น เป็นความเข้าใจโลก จะได้ไม่ทุกข์ และ เรียนรู้กับสิ่งที่เป็น
มันเป็นเช่นนั้นเอง
เหตุที่ช่วงนี้ผมเน้นเรื่องนี้มากขึ้นอาจจะด้วยเหตุว่าอายุมากขึ้นกระมังครับ อิอิ
คนเราอาจป่วยและอาจตายได้ทุกเมื่อ โดยมิได้มีสิ่งใดบอกกล่าวล่วงหน้า ฉะนั้นต้องเตรียมตัวไว้ก่อนครับ
อ้อ และอีกแรงดลใจหนึ่งก็คือความเจ็บป่วยของคุณแหววเองด้วยแหละครับ
ธรรมะสวัสดีครับ
โห เรียกพี่เลยเหรอครับ? อิอิ
ธรรมะสวัสดีครับ..น้องเม้ง 5555
สวัสดีครับ เด็กดอยใจดี
เช่นนั้นเอง จริงๆ ครับ
สวัสดีครับพี่เทพ
สวัสดีค่ะ
ของพูดถึงประสบการณ์การรักษาคนเจ็บป่วยบ้าง บางคน หลงติดในยา ถ้าไม่ได้ยาสีเดิม เม็ดเหมือนเดิม ก็พาลจะไม่หาย บางคนมาหาด้วยอาการแลดูจะหนักหนา แต่พูดคุยไปมา ก็เดินกลับโดยไม่รับยาเลย และบางคนมาถึงก็บ่นว่านอนไม่หลับมาหลายวัน จะให้จัดยา ฉีดยาให้ พูดคุยสักพัก เห็นยิ้มแย้มขึ้น ก็บอกให้นอนรอก่อน เราจะไปจัดยา กลับมาอีกที นอนหลับไปเสียแล้ว บางโรค ยาก็ไม่ได้มีบทบาทไปเสียทั้งหมดค่ะ
สวัสดีครับพี่เม้ง
สวัสดีครับคุณบุญรุ่ง
ธรรมะสวัสดีครับ