แม้งาน UKM11 จะผ่านมาหลายวันแล้ว แต่เรื่องราวดี ๆ หลายเรื่อง ยังได้รับการถ่ายทอดอย่างต่อเนื่องจากเพื่อนชาวบล็อกทั่วฟ้าเมืองไทย หรืออาจเลยไกลไปถึงเพื่อนต่างแดนที่ได้เข้ามาร่วม "สังสรรค์ปัญญาตามประสาเฮฮาศาสตร์"
หากใครที่หัวใจไม่ล่องลอยจนเกินเหตุ ก็คงจะพอจำวาทะเด็ดของคุณพ่อครูบาสุทธินันท์ นักวิชาเกินแห่งมหาชีวาลัยอีสาน ที่ได้โยนลงกลางใจนักวิชาการทั้งห้องประชุม
"วิชาการเชิงรุก ต้องลุกจากเก้าอี้"
แสดงว่าที่ผ่านมาพวกเราเหล่านักวิชาการ ทำงานวิชาการเชิงรุกอยู่ในห้องทดลอง ห้องสมุด สำนักงาน หรือโลกส่วนตัว จนลืมไปว่ายังมีคนในสังคมเฝ้ามอง และรอคอยมรรคผลจากปัญญาอันเลิศที่พวกเรามีอยู่ และเมื่อสิ่งที่เขาเฝ้ารอคอยไม่ได้สมดังตั้งใจ หลายครั้งหลายคราเราจึงได้ยินเสียงบ่นของสังคมอยู่บ่อยครั้ง
"งานวิจัยเต็มห้องสมุด ช่วยอะไรสังคมได้บ้าง"
"พวกนักวิชาการพูดไม่รู้เรื่อง เหมือนไม่ได้พูดภาษาเดียวกันกับมนุษย์เดินดิน หลักการมาก ใช้ภาษาต่างด้าวจนน่ารำคาญ"
"พวกนักวิชาการก็ดีแต่เห็นพวกเราเป็นเครื่องมือทำมาหากิน พอเสร็จสมอารมณ์หมายก็หายหน้าไม่หันมาเหลียวแล"
"พวกนักวิชาการก็ดีแต่พูด ลองให้ลงมือทำดูสิ ไม่ได้เรื่อง"
ประเด็นคำถามเหล่านี้เกิดขึ้นจริง ๆ ในวงเสวนา UKM11 จึงเป็นโจทย์สำคัญที่เราต้องร่วมกันขบคิดว่าเราจะมี "การเชื่อมโยงวิชาการกับชุมชน" ได้อย่างไร
การที่จะเชื่อมโยงอย่างไรนั้นคงจะหารูปแบบที่แน่นอนตายตัวยาก เพราะต้องขึ้นอยู่กับธรรมชาติสาขาวิชา บริบทของชุมชน และทักษะส่วนตัวของนักวิชาการด้วย...แต่ที่สำคัญที่สุดที่ผมมองว่านักวิชาการจะต้องมีในการทำงานกับชุมชน คือ "ความจริงใจ อย่างไร้ชนชั้น"
"ความจริงใจ" คำง่าย ๆ แต่ทำยากเหลือเกิน เพราะตราบใดที่เราไม่รู้สึกร่วมทุกข์ร่วมสุข ร่วมร้อนร่วมหนาว หรือเป็นพรรคพวกกัน ก็ยากนักที่ความจริงใจจะเกิดขึ้นมาได้
นอกจากนี้นักวิชาการส่วนหนึ่งยังไม่สามารถสลัดคราบของชนชั้นปัญญาชนออกไปได้ เมื่อทำงานกับชุมชน ยังวางท่า ใช้ภาษาต่างด้าวเพื่ออวดอ้างสรรพคุณ ทำให้ชาวบ้านหวาดหวั่นและไม่กล้าเข้าถึง สุดท้ายความคิดและภูมิปัญญาก็ถูกขังอยู่ในห้องสมุดขาดการนำไปใช้
หากได้สลายกำแพงชนชั้นระหว่าง ปัญญาชนกับสามัญชน ด้วยความจริงใจเมื่อใด เมื่อนั้น "ความรู้จะเต้นออกจากหน้ากระดาษ" ดังคำที่นักวิชาเกินแห่งมหาชีวาลัยได้กล่าวไว้.....
สวัสดีครับ อ.ย่ามแดง
นอกจากนี้นักวิชาการส่วนหนึ่งยังไม่สามารถสลัดคราบของชนชั้นปัญญาชนออกไปได้ เมื่อทำงานกับชุมชน ยังวางท่า ใช้ภาษาต่างด้าวเพื่ออวดอ้างสรรพคุณ ทำให้ชาวบ้านหวาดหวั่นและไม่กล้าเข้าถึง สุดท้ายความคิดและภูมิปัญญาก็ถูกขังอยู่ในห้องสมุดขาดการนำไปใช้
กำแพงแห่งชนชั้นยังมีอยู่จริงและยากยิ่งที่จะทำลาย
ความจริงใจ คือสิ่งที่จะสลายกำแพงที่ว่านั้นครับ
ผมเชื่ออย่างนั้น
สวัสดีครับน้องย่ามแดง
โอ้โห มาเจอวาทะเด็ด ๆ จากบันทึกนี้ อยากให้นักวิชาการแต่ละท่านได้มาอ่านบ้างจังเลย
มาเยี่ยม...คุณย่ามแดง
ผมเป็นคนดอยอยู่บนเขา...
...ลงจากดอยเขาให้พักผ่อนเพียงเจ็ดวัน...
เดินผ่านกระท่อมริมธาร...ขอน้ำกินขันเถิดนะหน้ามน..
(เพลง)ฮำเพลงมาด้วยครับ...
สบายดีนะครับ.ฮา ๆ เอิก ๆ
อาจารย์สู้ๆ นะคะ เป็นกำลังใจค่ะ