สยามินทระเจ้า.........ภูมิพล พระเอย คือพระพ่อทั่วไทย..........ทั่วหน้า ไท้สุขผิปวงชน..............เป็นสุข ชนสุขชาติยั้งช้า.............ชั่วกัลป์
พระเสด็จทุกท้อง.......ถิ่นไทย เยี่ยมเยือนบรรดาชน.......ใหญ่น้อย อยู่เมืองอยู่กลางไพร.......อยู่ฝั่ง น้ำฤๅ อยู่โขดเขาเท้าคล้อย.......เคลื่อนหา
ประชาไหลหลั่งเฝ้า....จอมสยาม ดูดดื่มพระเมตตา.............ท่านใท้ คราพระตรัสถามความ......ทุกข์สุข เขานา เขาตอบซบหน้าไล้..........บาทบงสุ์
พระดำเนินบุกพื้น.......พสุนธรา ท่านฤๅ ยามย่างพระบาทลง.........แผ่นด้าว กลาดเกลื่อนพัสตราประชา.ปูลาด พื้นทั่ว รองทวิบาทท้าวไว้...........บ่ำบวง
ทวยหาญผู้กาจแกล้ว..ชายแดน ไทยโอ้ พระพ่อเจ้ารำลวง..........เหล่าเกล้า อาสาสมัครหมื่นแสน......ตำรวจ ทหารท่าน ซึ่งสละชีพป้องหล้า.......แหล่งสยาบ
พระเสด็จไตรตรวจข้อ.ทุกข์สุข ยามรบยามสงบยาม.........พักฟื้น แดนศึกพระสู้ลุก.............แล่นเยี่ยม เขานา เจ็บป่วยช่วยให้ชื้น...........ชุ่มใจ
ทศธรรมเอกเอี่ยมล้ำ.....เหลือหา แล้วเอย ขัตติยะยิ่งจอมไทย........พ่อเจ้า กสิกรรมพระนำพา..........ชาวไร่ นาแล อาชีพพระเฝ้าเกื้อ...........ก่อกูล
บทร้อยกรองประกอบบทวิทยุเรื่อง "ราชสดุดี 5 ธันวาคม" ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย วันที่ 5 ธันวาคม 2524 พิมพ์ในหนังสือ "ทวยราษฎร์รักบาทแม้ยิ่งด้วยบิตุรงค์"
"เราต้องตอบแทนความรักของประชาชน ด้วยการทำมากกว่าพูด ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่จะบำบัดทุกข์ของพวกเขา เพราะเขาเป็นหลักพึ่งพาของพระมหากษัตริย์ตลอดเวลา ประชาชนเป็นมิตรของพระมหากษัตริย์ มิตรนี่ในความหมายที่แท้จริง คือ ผู้ที่เอื้อเฟื้ออย่างกว้างขวาง คอมเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลืออย่างลึกซึ้งกว้างขวางและพระมหากษัตริย์ก็ไม่เป็นภัยต่อประชาชน"
พระราชกระแสรับสั่งของในหลวงกับสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ
นับแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ มีความก้าวหน้า ความเปลี่ยนแปลง และความผันผวนทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างมากมาย แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงปรับพระองค์ ในพระราชสถานะประมุขของรัฐและสัญญลักษณ์ของชาติ ให้สอดคล้องกับกระแสแห่งความเจริญ และความไม่แน่นอนต่างๆ ได้ด้วยดีตลอดมา ทรงเน้นย้ำว่า "สถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ" ดังที่ครั้งหนึ่งได้พระราชทานสัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวนิตยสาร Leader ที่เกี่ยวกับการปรับบทบาทของพระองค์ เมื่อกว่า 20 มาแล้ว ความว่า
"กษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยจึงเป็นสัญญลักษณ์ของประเทศและหากกษัตริย์ดำเนินบทบาทนี้ได้สำเร็จ ก็จะเป็นสัญยลักษณ์ที่มีชีวิตของประเทศนั้น กษัตริย์ต้องเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับประเทศ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาวิญญาณของประเทศไว้ด้วย เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของเรือนร่าง หรือวิญญาณของประเทศ ทั้งนี้หมายความว่า ประชาชนซึ่งรวมตัวกันเป็นประเทศ ย่อมมีลักษณะต่างๆกันไป แต่ลักษณะร่วมของประเทศนั้น ต้องมีอยู่ในตัวกษัตริย์"
อาจกล่าวได้ว่า การเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกร ในช่วงต้นรัชกาลนั้น มุ่งเน้นในทางสังคมสงเคราะห์และสาธารณสุข เป็นไปเพื่อการบำเพ็ญทาน และพระราชทานขวัญกำลังใจเป็นหลักใหญ่ แต่ครั้นเวลาล่วงไปได้ระยะหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชปรารภว่า พระราชกรณียกิจดังได้ทรงปฏิบัติมาแล้วนั้น ไม่ได้การแก้ที่ต้นเหตุของปัญหาและไม่ก่อให้เกิดผลอันถาวรยั่งยืน จึงมีพระราชดำริที่จะเปลี่ยนแปลงแนวทางการปฏิบัติพระราชกรณียกิจเสียใหม่ ดังที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งเล่าพระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ใน วโรกาสวันเฉลิมพระชนม์พรรษา วันที่ 12 สิงหาคม 2526 ความตอนหนึ่งว่า
"ตัดสินพระทัยว่า การที่จะเสด็จไปไหนๆแล้วแจกผ้าห่ม แจกเสื้อผ้า เป็นการถมมหาสมุทร อย่างไรก็ช่วยไม่ได้หมด ทางที่ดีรับสั่งว่า ต้องลงไปพูดคุยกับเขา สอบถามถึงความทุกข์ของเขาว่าอยู่ที่ไหน เพราะเหตุใดจึงอดอยาก เหตุใดข้าวจึงไม่ได้ผล ไร่จึงไม่ได้ผล"
|