หลังจากที่ท่านรองอธิการบดีฝ่ายบริหาร อ.มัสลัน มาหามะ ลงมาจากเวทีบรรยาย ในโครงการพัฒนาบุคลิกภาพของบัณฑิตศึกษา แล้วผมก็มีโอกาสไปสลามท่าน แล้วท่านก็ถามกลับมาว่า วันนี้อาจารย์ได้ประเด็นไปเขียนในบล็อกมัย? ผมก็เลยต้องตอบท่านไปว่่า มีหลายประเด็นมากครับ จนไม่รู้จะเริ่มประเด็นไหนดี เสียดายที่วันนี้ (เมื่อวาน) ผมไม่ได้หิ้วโน้ตบุ๊คมาด้วย ไม่งั้นฟังไปพิมพ์ไปทันทีเลย
หัวข้อที่ท่านอาจารย์มัสลันบรรยายเมื่อวานนี้คือ "บทบาทของครูในการสร้างสันติภาพ" ครับ เรื่องการสร้างสันติภาพ ผมว่าท่านรองฯ เป็นผู้เชี่ยวชาญอยู่แล้วครับโดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับศาสนา ผมฟังท่านบรรยายทีไร ขนลุกทุกที แต่รอบนี้เวลามีน้อย จนผู้ฟังหลายคนบอกว่า อ้าวจบแล้วเหรอ ยังรู้สึกว่า ที่ท่านบรรยายไปหนึ่งชั่วโมง เพียงการเรียกน้ำย่อยเท่านั้นเอง (คนบ่นให้ผมได้ยินชัดๆ ก็ อ.อับดุลกอนี เต๊ะมามัด ผช.หน.สาขาวิชาวิชาชีพครู)
ระหว่างการเดินลงมาจากห้องประชุม ท่านอาจารย์มัสลันก็ได้คุยแลกเปลี่ยนกับผม ซึ่งผมนำเสนอว่า ผมเคยไปนำเสนอให้กับกรมสิทธิมนุษยชนฯ มาครั้งหนึ่งว่า ถ้าคุณจะปรับแนวคิดของเยาวชนมุสลิมให้หันมาใช้กระบวนการสันติวิธี สิ่งที่คุณควรนำเสนอและให้พวกเขาได้เรียนรู้คือ กลวิธีในการเปิดเมืองมักกะห์ของท่านศาสนฑูต (ซ.ล) เพราะเป็นการเปิดเมืองที่ไม่เสียเลือดเนื้อและเต็มไปด้วยความเมตตา ซึ่งประเด็นนี้ ท่านอาจารย์มัสลันก็ได้นำเสนอในการบรรยายครั้งนี้ด้วย
ผมจึงเรียนท่านไปว่า ผมประทับใจเรื่องของการเผยแพร่ศาสนาในช่วงที่ท่านศาสนฑูตอยู่ที่มักกะห์ของท่านมาก เพราะมันเป็นประเด็นใหม่สำหรับผม ในเรื่องของการเลือกใช้วิธีการเพื่อการสร้างสังคมที่เยี่ยมยอดมาก
ท่านอาจารย์มัสลันนำเสนอว่า ในช่วงการเผยแพร่ที่มักกะห์นั้น ท่านศาสนฑูตไม่เคยใช้ความรุนแรงเลย ซึ่งหลายคนอาจมองว่า อาจเป็นเพราะท่านยังไม่มีกองกำลังก็ได้ แต่จริงๆ ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะสิบสามปีที่ท่านเผยแพร่ศาสนาที่มักกะห์นั้น มุสลิมได้รับความทุกข์ทรมานมาก แต่ท่านกลับสั่งไม่ได้มีการโต้ตอบที่รุนแรง ท่านสั่งให้อดทน ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง ในช่วงนั้นมีหัวหน้าเผ่าต่างๆ จำนวนถึงสามสิบเผ่าให้สัตยาบันรับรองท่านแล้ว (ซึ่งประเด็นนี้ท่านยกหลักฐานอ้างอิงไว้อย่างน่าสนใจมากครับ) และพร้อมให้การสนับสนุนการดำเนินงานของท่านทุกประการ แต่ท่านสั่งบรรดาสาวกว่า "จงอดทน เพราะเป้าหมายที่แท้จริงของเรา คือสรวงสวรรค์"
ท่านอาจารย์ยกตัวอย่างเปรียบเทียบอย่างง่ายๆ ว่า แค่การปฏิบัติการแบบกองโจร หรือการก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในเมืองมักกะห์เป็นเรื่องง่ายมากที่จะทำ แต่ท่านศาสนฑูตไม่เลือกใช้วิธีการนี้ครับ สิ่งที่ท่านใช้อย่างเดียวคือ ให้อดทน
นอกจากนี้ในช่วงสิบสามปีของการเผยแพร่ที่เมืองมักกะห์ ผู้คนในเมืองไม่พอใจการเผยแพร่ของท่านศาสนฑูต มีทั้งการมาด่าว่าร้ายท่านที่หน้าบ้าน จนกระทั้งพยายามทำร้ายท่าน แต่ในอีกมุมหนึ่ง คนกลุ่มเดียวกัน เขาจะเอาทรัพย์สมบัติของเขามาฝากไว้กับท่านศาสนฑูต เพื่อให้ท่านเป็นผู้ดูแลรักษาได้ เนื่องจากหากเก็บไว้ที่บ้านของเขาเองอาจสูญหายได้ ทั้งนี้เนื่องจากท่านศาสนฑูต ท่านได้รับฉายาว่า อัลอามีน ซึ่งแปลว่า ผู้ที่ไว้วางใจได้ (พูดง่ายๆ ใจหนึ่งเกลียด แต่อีกใจหนึ่งยังมั่นใจว่า ชายผู้นี้คือคนหนึ่งในมักกะห์ที่ยังสามารถไว้วางใจได้ทุกเรื่อง งงมัยครับ)
ดังนั้นในการอพยพจากมักกะห์ไปยังเมืองมาดีนะห์ ท่านศาสนฑูตจึงต้องใช้ท่านอาลี อยู่ที่บ้านของท่านอีกสามวัน เพื่อนำสิ่งของที่ผู้คนนำมาฝากไว้ ส่งคืนเจ้าของ
ผมมองว่า แค่ประเด็นนี้ก็นำมาคิดในสถานการณ์ปัจจุบันของบ้านเมืองเราได้แล้วครับ คือ
ผมสรุปง่ายๆ เอาว่า ที่ศาสนาอิสลามถูกนำไปเป็นจำเลยให้กับปัญหาของโลกในทุกวันนี้ เพราะคนที่นับถือศาสนาอิสลามไม่นำหลักการของศาสนามาใช้นั่นเอง <p> </p><p> </p>
อัสสาลามุอะลัยกุม ครับ อาจารย์
อยู่ในรั้ว มอ.ย. ผมเห็นอาจารย์แวบๆ ไม่เคยได้คุยกันเลย วันนี้ผมได้อ่านบล็อกอาจารย์ ขอมีส่วนร่วมด้วย มีสองประเด็น ดังนี้
ขอบคุณ
อัสสาลามูอาลัยกุม (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน)
อิสลามเป็นศาสนาสันติ เห็นได้ว่าจากการทักทายก็ทำให้เกิดความสันติสุขแล้วครับ