พรบ.โรงเรียนเอกชนสอนศาสนอิสลาม


พรบ.โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม เรื่องที่ค้างคามานาน
 โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม เป็นฐานสำคัญด้านการศึกษาที่จะเสริมสร้างคุณภาพชีวิตขอประชาชนและเป็นแนวทางแก้ปัญหาความไม่สงบที่กำลังประทุขึ้นเป็นระยะๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ทั้งๆที่รัฐเสียงบประมาณไปไม่รู้เท่าไหร แต่สุดท้าย เหตุการณ์ความไม่สงบก็ยังมีให้ได้ยินได้เห็นอยู่ตลอดเวลา

          การศึกษา เป็นหนทางสุดท้ายที่จะช่วยให้สังคมดีขึ้น แต่รัฐกลับละเลย ไม่รู้มีทางแก้ไขได้แค่ใหน โดยเฉพาะเรื่องพรบ.โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามที่กำลังเฝ้ารอการแจ้งเกิด รอแล้วรอเล่า ขณะนี้การบริหารงานโรงเรียนก็ยังไม่ชัดแจน จะใช้ระบบตัวใหน ใช้พรบ.ใดบ้าง กึ่งๆ กลางๆ ไม่ชัดแจน ทำให้การบริหารงานและการประสานงานกับภาครัฐมีจุดบกพร่อง

          ถามว่า เมื่อไหรพรบ.โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามจะคลอดซะทีหรือว่าปล่อยอย่างนี้ไปก่อนสักระยะ ให้มันเรียกร้องขึ้นเอง หรือว่ามันเป็นการเมือง ผู้ใดทราบหรือมีข้อคิดเห็น กรุณาแจ้งมาด้วยครับ

หมายเลขบันทึก: 12197เขียนเมื่อ 13 มกราคม 2006 22:29 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน 2012 08:51 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
สถานการณ์การก่อการร้าย
ลัทธิก่อการร้ายไม่ใช่เพิ่งจะเกิดในประเทศยุคนี้ แท้ที่จริงการก่อการร้ายได้เกิดกับประเทศไทยมาเนิ่นนานแล้วโดยที่คนไทยไม่เคยให้ความสำคัญในเรื่องนี้เลย เมื่อเกิดเหตุร้ายขึ้นมา ก็บอกไม่ได้ว่าเป็นเหตุร้ายแบบไหน
ลัทธิก่อการร้าย (terorist)
เป็นลัทธิของคนป่าเถื่อน ใช้ปฎิบัติการไม่เลือกาลเวลาและสถานที่ คนที่บงการให้ทำ เป็นพวกไม่มีศาสนาไม่รู้จัก บาปบุญคุณโทษ แต่คนพวกนี้จะอ้างการกระทำว่าเป็นความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า แล้วก็มีคนขานรับว่าการก่อการรายเป็นแนวทางการต่อสู้ที่ถูกต้อง การก่อการร้ายที่ยิ่งใหญ่ หมายถึง " นักรบ" ของกระบวนการนี้ได้รับการปลุกฝังล้างสมองให้มีความกล้าหาญถึงขั้นยอมตายถวายชีวิต
ลัทธิก่อการร้ายได้กลายเป็น " หอกเล่มใหญ่ " ไล่ล่าฆ่าคนปานว่าเล่นบนโลกกลม ๆ ใบนี้ โจรปัตตานีได้ใช้ลัทธิก่อการร้ายทำสงครามกับรัฐบาล
รัฐบาลที่ไม่มีความรู้พื้นฐานในปัญหาของตนเอง!!! จึงตกเป็นเหยื่อของพวกผู้ก่อการร้ายอย่างขนานใหญ่ สิ่งที่ทำให้ตกเป็นเหยื่อยอย่างร้ายกาจ ได้แก่ " ยุทธวิธี"ที่แตกต่างกัน โจรก่อการร้าย ยิ่งมาจากมุมมืด
ยิงตายแล้วกระโดดขึ้นคร่อมศพ เยี่ยวรดศพ ประจานให้เสียหายแล้วคว้าเอาอาวุธของทหาร ตำรวจติดมือไปด้วย
ทหาร ตำรวจ อยู่ในที่สว่าง เป็นที่โล่งโปร่งตา มองเป็นเป้านิ่ง จึงถูกถล่มอย่างเมามัน
นอกจากนี้โจรปัตตานียังใช้วิธีการก่อวินาศกรรม(Sabotage) เช่นว่างระเบิดรางรถไฟ ขุดหลุมให้รถตกลงไปทั้งคัน จุดระเบิดด้วยมือถือ วิธีแบบนี้วงการลัทธิก่อการร้ายเรียกเป็นภาษาอังกฤษวา " แซบโบตาจ" นั่นแหละ
สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ตกอยู่ในสถานการณ์สงครามโจรก่อการร้ายที่เป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงต่อประเทศชาติและประชาชน โดยมีความไม่มั่นคงของดินแดนเป็นเดิมพัน รัฐบาลยังไม่ได้ขยับทิศทางแก้ปัญหาที่เป็นแฟคเตอร์ที่แท้จริงเลย
ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา ได้มีการพยายามจะโยงเรื่องปัญหาภาคใต้กับศาสนาอื่น(คริสต์) และพญาอินทรี ( CIA)ถ้าอ่านบทความ คำให้สัมภาษณ์ของนักวิชาการ อาจารย์ ครูสอนศาสนา ก็จะเห็นว่ามีเหตุผลที่น่าเชื่อถือ
แต่พวกเราลืมกรณีกรือเซะ และตากใบกันหรือยัง ถ้ายัง ผมจะพาย้อนรอยอดีต แล้วให้ทุกท่านพิจารณาเหตุการณ์ 18 กุมภา 50 ว่ามีการพัฒนาจากข้อผิดพลาดเหตุการณ์กรือเซะ และตากใบ หรือไม่ เริ่มกันเลยครับ
ขั้นตอนการแบ่งแยกดินแดนของภาคใต้ ( รัฐปัตตานี )
ในขบวนการแบ่งแยกดินแดนหนึ่งๆ จะกำหนดแผนการเป็นขั้นบันไดไว้ เมื่อหมดทุกขั้นบันไดแล้ว ก็จะต้องบรรลุผล ถ้าไม่บรรลุผล ก็จะถือว่า หมดรอบ (Cycle) นั้น (หมดแผน..เงินหมด..กระสุนหมด..เบี้ยชีวิตพลทหารหมด) ผู้ก่อการทั้งหมดก็จะสลายตัวชั่วคราว เอาความผิดพลาดและชีวิตของผู้พลีชีพมาเป็นตำนานเล่าขาน เพื่อรอวันที่จะสร้างรอบ (Cycle) ของการยึดดินแดนใหม่ ซึ่งอาจจะเป็นอีก ๓ ปี ๕ ปี ๑๐ปี หรืออีก ๒๐ ปี ก็ได้ แต่..มันจะไม่มีวันสิ้นสุดเพียงแค่รอบนี้แน่นอน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่หน้าสถานีตำรวจอำเภอเมืองตากใบ เป็นพัฒนาการของขบวนการโจรแบ่งแยกดินแดนตามลำดับขั้นที่กำลังจะดำเนินไปสู่จุดสุดท้ายของรอบ (Cycle) นี้..
ผมจะลำดับขั้นตอนโดยลำดับของขบวนการนี้ตั้งแต่ต้นมานะครับ..
๑/ จุดเริ่มต้นของแผนการ
คาดว่าเกิดขึ้นมาไม่น้อยกว่า ๕ ปีแล้ว ผ่านครูสอนศาสนาหัวรุนแรงจำนวนหนึ่ง ใน ๓ จังหวัดภาคใต้ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ มิได้ดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้กฎหมายไทยมานานแล้ว ตั้งแต่ภาษาพูด วัฒนธรรม ความคิดอ่าน ตลอดจนวิถีชีวิตในครอบครัว มิได้มีความเป็นไทยมานานแล้วครับ การชุมนุมกันเพื่อแสดงความคิดอ่านของคนในหมู่เดียวกันกระทำได้โดยง่าย เพราะองค์กร สถาบันทางศาสนาที่พวกเขาตั้งขึ้น เป็นเกราะกำบังที่ดีจากการตรวจสอบของฝ่ายการเมืองและข้าราชการในรัฐบาล
๒/ หาแนวร่วมผู้ทรงอิทธิพล
แผนขั้นนี้ คือ หาแนวร่วมของคนในอุดมการณ์เดียวกันซึ่งทรงอิทธิพลในแง่ใดแง่หนึ่งมาสนับสนุนการก่อการ ซึ่งได้แก่.. นักการเมืองในภาคใต้ ..ผู้นำมุสลิม ที่นิยมการใช้ความรุนแรงในการตอบโต้จากต่างประเทศ ผ่านเครือข่ายมุสลิมในภูมิภาคนี้ และสุดท้าย ผู้นำชุมชนมุสลิมใน ๓ จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นครูสอนศาสนา
๓/ เริ่มต้นดำเนินการแผนปฏิบัติการมวลชน
นักการเมือง...หว่านล้อมให้คลายมาตรการควบคุมดูแลปัญหาภาคใต้ลง ซึ่งก็ประสบความสำเร็จด้วยดี เพราะนายกรัฐมนตรีมิได้ระแวงพวกเดียวกันเอง
เครือข่ายมุสลิมที่นิยมความรุนแรงในภูมิภาค....ส่งคนเข้ามาฝึกอาวุธให้..ให้เงินสนับสนุนการก่อการ พวกนี้เดินทางเข้าออกผ่านชายแดนไทย-มาเลย์ ไม่นิยมโดยสารโดยเครื่องบิน เพราะหลักฐานและเอกสารส่วนบุคคลจะทำให้สืบทราบได้
ผู้นำศาสนาและครูสอนศาสนาบางส่วน เริ่มต้นระดมไพร่พล และล้างสมองเยาวชนในโรงเรียนให้เห็นอนาคตของชาวมุสลิม อ้างความรุนแรง และความเจ็บแค้นที่ศาสนาอื่นกระทำต่อมุสลิมทั่วโลก และประวัติศาสตร์ของรัฐปัตตานีที่เคยเป็นรัฐอิสระของอิสลามมาก่อนที่จะถูกกลืนหายไป ทำความเชื่อว่านี่เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหมือนเช่นที่ตะวันออกกลาง รัฐบาลไทยคือผู้รุกรานที่มายึดพื้นที่ไปครอบครองในระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น และไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของ การสร้างเรื่องล้างสมอง รวมไปถึงปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้น ความสำเร็จในการแยกตัวของชาวติมอร์ที่อยู่ภายใต้การปกครองของอินโดมาช้านาน การตายเพื่อรับใช้พระเจ้าบนสวรรค์ และ วีรกรรมพลีชีพที่ยังไม่บรรลุผลของชาวรัฐปัตตานีในอดีต
๔/ จุดชนวนความรุนแรง
ด้วยแนวความคิดที่สอดคล้องกับมุสลิมผู้นิยมลัทธิก่อความรุนแรงทั่วโลกว่า ถ้าไม่ใช้ความรุนแรงไม่มีทางที่จะชนะได้ ไม่มีทางที่จะได้รัฐปัตตานีคืนด้วยการเจรจา (เช่นเดียวกับการเจรจาบนโต๊ะเพื่อขอคืนดินแดนปาเลสไตน์) การปล้นปืนที่ค่ายทหารและการเผาโรงเรียนเป็นบททดสอบแรกที่นำมาพิเคราะห์แล้วว่า ..แผนการสำเร็จได้ เป็นไปได้ เพราะสร้างความมืดมนให้กับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง วิเคราะห์สาเหตุกันไปต่างๆ นานา ถูกๆ ผิดๆ และเกิดความไม่ไว้วางใจพวกเดียวกันเอง ขบวนการได้นำผลสำเร็จจากการปฏิบัติการมาสร้างความเชื่อมั่นให้กับสาวกเพื่อการวางรากฐานแผนขั้นต่อไป
๕/ สร้างเกราะป้องกันตัว
หลังจากความพยายามสืบหาตัวการก่อการร้าย และอาวุธปืนที่ถูกปล้น เจ้าหน้าที่บ้านเมืองเริ่มแตกกันเป็นหลายความคิดเห็นในการแก้ไขปัญหา การพยายามหยิบยกให้เห็นผลร้ายของการแตะต้องคนในศาสนามุสลิมและสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งจะทำให้เกิดการแบ่งแยกชาวไทยออกเป็นสองส่วน และนำไปสู่สงครามศาสนาได้ ทำให้เจ้าหน้าที่ลังเล และเห็นด้วยที่จะใช้มาตรการโอนอ่อน และหลีกเลี่ยงความขัดแย้งของคนสองศาสนาในพื้นที่
จะเห็นได้จากการออกมาโวยวายอย่างเกินเหตุ ถึงขั้นไม่ให้ความร่วมมือใดๆ ทั้งสิ้นของผู้นำชุมชนมุสลิม เพียงเพราะเจ้าหน้าที่ไปตามจับผู้ต้องสงสัยที่หลบเข้าไปในโรงเรียนสอนศาสนา การสร้างเกราะป้องกันเข้มงวดกับโรงเรียนและมัสยิด มิให้ผู้อื่นย่างกรายเข้าไปโดยง่าย เป็นแผนสร้างเกราะกำบังส่วนหนึ่ง คงเป็นไปไม่ได้ หากจะติดตามจับคนร้ายอย่างกระชั้นชิด แล้วเจ้าหน้าที่ต้องขอหนังสือตรวจค้นเป็นลายลักษณ์อักษร ต้องไม่ถืออาวุธ ไม่ใส่หมวกทหาร ไม่สวมรองเท้า (ให้ถอดบู๊ทออก กว่าจะถอดได้.. แผนการขั้นนี้ ถือว่าสำเร็จตามวัตถุประสงค์ เพราะคนเป็นใหญ่เป็นโตในรัฐบาลออกมาตำหนิเจ้าหน้าที่ของทางการว่า ดำเนินการโดยไม่ให้เกียรติ
๖/ ฆ่า..เพื่อสร้างอำนาจต่อรอง
การฆ่าเจ้าหน้าที่ พระภิกษุ และชาวไทยพุทธทั้งหลายที่เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด เพื่อสร้างความหวาดกลัวในการดำเนินชีวิตของผู้คนในสังคม ทางการจับตัวคนร้ายได้บ้างไม่ได้บ้าง จับได้ก็ถูกกดดันให้ระมัดระวังในการตั้งข้อกล่าวหา และหลักฐานโยงใยไม่ชัดเจน สร้างอานุภาพให้กับผู้ก่อการอย่างไม่คาดคิด เพราะนี่เป็นจุดอ่อนที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองไม่กล้าที่จะใช้ความเด็ดขาดลงไป บ้านเมืองใดก็ตาม หากกฎหมายไม่หย่อนยานแต่ควบคุมการใช้อย่างหย่อนยาน ก็จะทำให้โจรผู้ร้ายเกิดความเหิมเกริม นี่เป็นสัจธรรมของการปกครอง ยิ่งฆ่ามาก และลอยนวลได้เท่าไร ก็จะยิ่งสร้างอำนาจการต่อรองในสังคมได้มากขึ้น
เพื่อยุติปัญหาก่อความไม่สงบ รัฐบาลจะเริ่มมองหามาตรการ "เจรจา" กับตัวแทนก่อการร้าย นั่นคือ เป้าหมายที่มุ่งหวัง จะเห็นได้ว่า ในเวลาหนึ่งของแผนการนี้ ได้มีการพบปะพูดคุยและต่อรองกันอย่างลับๆ ของเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของไทยกับหัวหน้าโจร แต่ทั้งสองฝ่ายรั้งรอที่จะเปิดเผยตัวจริง จึงกระทำผ่านตัวแทนที่ได้รับมอบหมาย
แผนนี้ถือว่าประสบความสำเร็จส่วนหนึ่งแน่ชัดแล้ว เพราะมีการเจรจาทางลับ และมีเจ้าหน้าที่จำนวนมากขอย้ายตัวเองออกนอกพื้นที่ แสดงว่าหวาดกลัวจนไม่เป็นอันทำมาหากิน
๗/ สร้างเงื่อนไขยึดชุมชน
การรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนก่อความรุนแรงอย่างแสนสาหัสในอาณาบริเวณกว้าง เป็นความมุ่งหมายที่จะสร้างเงื่อนไขยึดชุมชน การเข้าไปรวมตัวกันในมัสยิดกรือเซะ ก็เพื่อสร้างเงื่อนไขต่อรองกับเจ้าหน้าที่ทางการ ซึ่งก็เกือบที่จะสำเร็จตามแผนการอยู่แล้ว หากสามารถถ่วงเวลาให้ยืดเยื้อไปได้ถึงวันรุ่งขึ้น การระดมพลเพื่อเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองไม่กระทำการรุนแรง และประณามการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่จากองค์กรมุสลิมทุกเครือข่ายทั้งใน และนอกประเทศจะกรูกันเข้ามากดดันมิให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการใดๆ ได้ทั้งสิ้น เว้นแต่จะมีการเจรจาผ่านตัวแทน การปล่อยตัวมุสลิมที่ยึดกรือเซะจะเกิดขึ้นในลำดับถัดมา และจะมีการเผยแพร่ภาพคนพวกนี้เป็นวีรบุรุษของชาวมุสลิม ตรงนี้จะสร้างเครือข่ายที่ใหญ่ขึ้น และระดมอิทธิพลทั้งกำลังคนและกำลังทุนได้มากขึ้นอย่างแน่นอน น่าเสียดายที่แผนมาพังทลายไป เพราะพลเอกพัภลภ ปิ่นมณี ไม่ยอมหารือกับผู้ใหญ่ในคณะรัฐบาล และดำเนินการไปอย่างที่เห็นสมควรตามแผนยุทธศาสตร์ (ตรงนี้วิเคราะห์ได้สองกรณี คือ ผู้ใหญ่ไม่สั่ง หรือ ผู้ใหญ่สั่ง แต่จำต้องใช้พลเอกพัลลภออกมารับหน้า) นี่เป็นการทำลายแผนการยึดชุมชนให้เหลือเพียง การประณามจากนานาองค์กรเรื่อง ความไม่เหมาะสม
เหตุการณ์ที่หน้าสถานีตำรวจอำเภอตากใบ ก็เป็นการดัดแปลงแผนการในลำดับนี้ โดยยึดเหตุการณ์ที่กรือเซะเป็นบทเรียน การเดินทางมาชุมนุมกันเพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักโทษเป็นจำนวนนับพันๆ คน ต้องมีการนัดหมายและวางแผนกันมาเป็นอย่างดีเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีแผนการอยู่เบื้องหลัง และเป็นที่น่าสังเกต คือ เลือกเอาวันหยุดราชการ ๓ วัน ซึ่งผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนเดินทางออกไปพักผ่อนนอกพื้นที่ หรือ กลับภูมิลำเนา
ทำเลที่ตั้งของสถานีตร.อำเภอตากใบ เหมาะแก่ยุทธภูมิในการปิดล้อม และเปิดให้มีทางหนีทีไล่ได้อย่างไม่ยาก ปมสำคัญ คือ รัฐจะต้องปฏิเสธไม่ปล่อยผู้ต้องหา เป็นเหตุให้เกิดการลุกฮือ และเผาที่ทำการสถานี เกิดจราจลจนไม่อาจควบคุมได้ แผนการนี้ล้มเหลวเพราะเหตุใด?
บทเรียนที่กรือเซะ คือ พยายามถ่วงเวลาเพื่อให้แนวร่วมที่ประสานงานไว้เข้ามาช่วยเหลือ แต่ความช่วยเหลือยังไม่ทันมาถึงก็โดนสอยร่วงไปก่อน งานนี้ทางการคงไม่กล้าสอยทีเดียวเป็นพันๆ คน ประเมินแล้วจึงคิดว่าจะใช้การกดดัน แล้วเพิ่มชุมนุมชน จาก ๗๐๐ เป็น ๑๐๐๐ ในตอนค่ำ และทวีเป็นจำนวนหลายพันจากมุสลิมทุกภูมิภาคในเวลาต่อมา
ถึงเวลานั้น การใช้กำลังเข้าสลาย "ไม่มีวันเป็นไปได้" แต่แผนมาแตกเสีย เพราะมีคนกลัวตาย มากกว่า ไม่กลัวตาย เมื่อเจ้าหน้าที่มีเวลาเตรียมตัวและได้กำลังเสริม ระดมยิงปืนแบบบ้าระห่ำ (มิได้เล็งเป้าหมายไปที่ม็อบ) เกิดเหตุการณ์ "ผึ้งแตกรัง" ที่ไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน กระเจิด กระเจิงไปคนละทิศละทาง เพราะเข้าใจว่า กระสุนปืนมุ่งเด็ดชีพอย่างเด็ดขาด แทนที่จะตะโกนโห่ร้อง โดยผู้นำม็อบบอกว่า อย่าเคลื่อนไหว เป็นแผนลวง ให้เกาะมือกันไว้เป็นโล่ห์ป้องกันให้กันและกัน (ดั่งที่วีรบุรุษ ๑๔ ตุลา เคยทำได้)
ถ้าเช่นนั้น ก็คงมีโอกาสสำเร็จลุล่วงแผนการนี้ไปได้ไม่ยาก เพราะเมื่อมีการตีข่าวออกไปทั่วโลกแล้ว ลำดับต่อไปก็จะเข้าล็อกในทันที ดูท่าว่า คงจะต้องวางแผนกันใหม่ครับ เตี๊ยมกันให้เหมาะๆ ถ้าทางการทำอย่างนี้ เราจะทำอย่างไร จำลองทุกสถานการณ์ไม่ให้พลาด โดยยึดเอา กรือเซะ และ ตากใบ เป็นอุทาหรณ์..
..ในเมื่อแผนลำดับที่๗ ยังไม่บรรลุ ก็ยังไม่ถึงแผนขั้นที่๘ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะถึงลำดับสุดท้ายของการตั้งรัฐปัตตานีแล้ว
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท