เอาอย่างไรดีคะ?
ตอนตั้งชื่อblogก็ไม่คิดจะอาจหาญกล่าวถึงเรื่องที่แม้ในแวดวงศิลปะเองก็หาข้อสรุปกันไม่ได้
แต่ไอ้จะลบblog ก็ทำไม่เป็น(มือใหม่ซิง ๆ เมื่อวานนี้เอง) เอาเป็นว่าไว้รอความคิดเห็นจากท่านอื่น ๆ ก่อนดีกว่า ไว้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน หรือใครมีไอเดียดี ๆ ที่สร้างสรรค์ ก็ยอนดีนะคะ ตอนนี้ถ้ามีใครทำยา"สร้างสรรค์" ขายอยากซื้อมากินแล้วผสมน้ำให้เด็ก ๆ นักศึกษาที่สาขาวิชากินจริง ๆ ให้มันติดเชื้อกันทั่วเหมือนเชื้อไวรัสตับอักเสบเลย(เผอิญในอดีตผู้เขียนมีประสบการณ์ การระบาดของโรคไวรัสตับอักเสบทั่วทั้งมหาวิทยาลัย...ตอนนั้นใครๆก็ป่วย....อยากให้นักศึกษาติดเชื้อความคิดสร้างสรรค์จริง ๆ ....แบบใคร ๆ ก็คิดสร้างสรรค์)
เอาเป็นว่ามาช่วย ๆ กันคิดดีกว่าคะ..คิดคนเดียวมันตัน
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีครับ
ผมเป็นคนที่ชอบงานศิลปะมาก โดยเฉพาะดนตรีและทัศนศิลป์ แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ไม่มีพรสวรรค์ใด ๆ ในทั้งสองด้าน .. จึงหันมาเสพด้านภาษาด้วยการอ่านวรรณกรรมชดเชย ...
งานศิลปะไม่ว่าอะไรก็ยิ่งใหญ่เสมอ เรื่องราวจินตนาการของมนุษย์สะท้อนให้เห็นความสร้างสรรค์ของพลังทางปัญญาที่สัตว์โลกชนิดอื่น ๆ ไม่อาจสร้างเป็นวัฒนธรรมได้
....
ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะคุณแผ่นดิน
อย่างน้อยก็ดีใจค่ะที่หัวข้อนี้มีคนเข้ามาช่วยกันเขียนจริง ๆ ใจจริงก็แค่คิดสนุก ๆ ว่า คำว่าสร้างสรรค์นี่มันใช้กันเยอะจริง ๆ แต่ยินดีค่ะ
คุณมีคุณสมบัติที่พึงประสงค์แรกและสำคัญที่สุดในการเสพความงามคะ..............ความอยาก ความชอบนี่มันบังคับกันไม่ได้(ไม่ต้องพูดยาวไปถึงความรักหรอกคะ บางทีไม่ชอบแค่เพราะไม่ชอบอะ ใครจะทำไม ก็มีเยอะ)
ชอบงานศิลปะ ไม่ต้องใช้พรสวรรค์อันใดยกเว้นใจ.........ที่คุณบอกว่าคุณถอดใจเรื่องงานทัศนศิลป์ แต่สามารถเสพความงามจากวรรณกรรมได้ ...แหมตัดโอกาสกันไปนิดนะคะ
คนส่วนใหญ่คิดว่าทัศนศิลป์ต้องใช้พรสวรรค์ แต่พรแสวงก็เป็นทางหนึ่งที่ช่วยเราได้
ทัศนศิลป์ใช้ทัศนธาตุ คือ เส้น รูปร่าง พื้นผิว สี นำหนัก ฯลฯ เป็นตัวแทนในการถ่ายทอดความงามและเรื่องราว คุณไม่ผิดหรอกค่ะที่ไม่ค่อย get กะมันเท่าไหร่ เพราะคุณมีประสบการณ์ความคุ้นเคยกะมันน้อยอันเนื่องมาจากระบบการศึกษาของเรา
ลองคิดง่าย ๆ นะคะคุณเรียนอ่านตัวอักษรตั้งกะ อนุบาล หรือ ป.1 จนโต อ่านทุกวัน เขียนทุกวัน ใช้ทุกวัน แถมสอนเราให้อ่านวรรณกรรม(แบบบังคับให้อ่านมาสอบก็เยอะ) แล้วจะไม่ให้คุณคุ้นเคยและรู้สึกสะดวกใจกับความงามจากภาษาได้อย่างไร
แต่คุณเรียนศิลปะ อาทิตย์ละ 1 คาบ แถมบางทีเอาเวลาไปทำอย่างอื่นอีก แล้วตอนสอนก็ไม่บอกอะไรเลย ไม่สอนให้ดูเลย ได้แต่ให้ทำ ๆ ๆ แล้วก็ได้คะแนน บางทีเราว่าของเราสวยกว่าแต่ดันได้คะแนนน้อยกว่าเพื่อน อาจารย์ก็ไม่บอกว่าทำไม แล้วพอพ้น ม.ต้นถ้าไม่ไปเลือกเรียนต่อ ก็กล่าวคำลากันตั้งตะตอนนั้นเลย
แล้วจะเอาความเข้าใจอะไรไปเสพงานทัศนศิลป์ได้ ยกเว้นคนสนใจเอง หากินเอง ดูเอง อ่านเอง อันนั้นก็รู้สึกโดดเดี่ยวไปนิด แล้วไอ้พวกที่เรียนศิลปะก็ดูเข้าใจยากซะชิบ เลยทำให้เขตแดนของศิลปะโดยเฉพาะทัศนศิลป์เป็นเหมือนแดนสนทยา น่าพิศวง น่าสนใจ แต่ให้เข้าไปดูเอามั้ย ไกด์ก็ไม่มีเนอะ คนส่วนใหญ่ก็เลยชะโงกหน้าดูเอาก็พอ(แหมน่าเสียดาย)
เล่ามาตั้งยาว.......เอาเป็นว่าเรามีbolgแล้ว ไม่ต้องกลัวค่ะ ก็ไม่อยากตั้งตัวว่าเป็นผู้ชำนาญการด้านนี้มากนะคะ แต่ก็จะพยายามนำเพื่อนผู้สนใจให้เข้าใจและเรียนรู้กับมันให้มากขึ้น............เอาใจมาละกัน
ไว้คราวหน้าเรามาว่ากันต่อนะคะ............งาน งาน งาน มาแล้วค่ะ