ข้อเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา (๑๐)
AAR การประชุมครั้งที่ ๑
ในตอนที่ ๖ - ๙ ได้เล่าในลักษณะถอดเทปและเรียบเรียงคำอภิปรายในการประชุมคณะกรรมการอำนวยการฯ ครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๙ ธค. ๔๘
ต่อไปนี้จะเสนอข้อคิดเห็นของผมหลังจากกลับมาฟังเสียงที่บันทึกในการประชุมซ้ำ และไตร่ตรองหลายตลบ จึงขอบันทึกในลักษณะ AAR ดังนี้
1. ความคาดหวังของผมว่าจะได้เห็นในการประชุม
มีดังนี้
• หวังได้ร่วมในการถกเถียงประเด็นเชิงนโยบายให้เกิดมติเชิงนโยบายอย่างชัดเจน
คือหวังการถกเถียงอย่างกว้างขวาง
มีการเสนอความเห็นที่แตกต่างหลากหลาย
แล้วค่อยๆ เห็นพ้องกันมากขึ้น
ร่วมกันกำหนดเป็นนโยบายที่ชัดเจน
ชัดจนนำไปสู่การปฏิบัติที่บอกได้ว่าปฏิบัติแบบไหนใช่
แบบไหนไม่ใช่
ใช่หรือไม่ใช่ในที่นี้คือตรงตามนโยบาย
ไม่ใช่หมายถึงไม่ตรงตามนโยบาย คือชัดจนเกิด
commitment ในการดำเนินการโดยหลายฝ่าย
• หวังเข้าไปผลักดันให้เกิดการทดลองทำตาม
“กระบวนทัศน์ใหม่”
เปรียบเทียบกับกระบวนทัศน์เก่า
ให้เห็นดำเห็นแดงไปเลยว่าผลการวิจัยและพัฒนาบอกว่าวิธีคิด – ปฏิบัติ
ตามกระบวนทัศน์ไหน ดีกว่า
จุดสำคัญคือหวังให้เกิดมติที่หนักแน่นสำหรับไปร่วมกันดำเนินการร่วมกันหลายฝ่ายแบบเอาจริงเอาจัง
• หวังไปขายความคิด
ว่ากระบวนทัศน์ใหม่ คือกระบวนทัศน์ KM
หรือกระบวนทัศน์ ที่เน้นเอาความสำเร็จหรือ best practices
มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้และขยายผล
และนำไปสู่การดำเนินการโครงการนำร่อง แล้วขยายผลโดยเร็วภายใน ๑
ปี
2.
สิ่งที่ได้เกินความคาดหวัง
การนำเสนอกระบวนทัศน์ใหม่
เสนอโดย ศ. สุมน
อมรวิวัฒน์ ซึ่งถือเป็นปูชนียบุคคล
ในวงการศึกษา และหนุนโดยผม
ซึ่งก็คงจะมีคนเกรงใจ “ความเป็นคนแก่”
อยู่พอสมควร
จึงไม่มีการถกเถียงตัวกระบวนทัศน์เลย
คนที่ออกมาเถียงคือตัวรัฐมนตรีผู้เป็นประธาน
คือเถียงให้เกิดความพอดี
ไม่สุดโต่งไปด้านหนึ่งเกินไป
ดังนั้นผมจึงค่อนข้างตกใจที่มีการยอมรับข้อเสนอแบบที่ยอมรับง่ายเกินไป
กระบวนทัศน์ใหม่ที่ยอมรับกัน
คือ กระจายอำนาจ
ไม่สั่งการไปจากส่วนกลางแบบดิ่งเดี่ยว
เปิดโอกาสให้ สพท., โรงเรียน/สถานศึกษา, และครู ได้คิดเอง
สร้างสรรค์เอง
ให้เกิดการดำเนินการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลายโดยยึดตามหลักการของหลักสูตรเดียวกัน
คือมีเอกภาพในท่ามกลางความหลากหลาย
และให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิธีปฏิบัติจากความสำเร็จในระดับ สพท.,
โรงเรียน/สถานศึกษา, และกลุ่มครู
ให้มีการสร้างความรู้ในด้านการพัฒนาหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนขึ้นมาจากความสำเร็จในระดับปฏิบัติ
รวมทั้งสร้างวิธีการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาที่เน้น on the job
learning ไม่เน้นการดึงครูออกมาจากโรงเรียน
สิ่งที่ได้มาง่ายๆ
แบบนี้
ผมถือว่าเป็นข้อตกลงที่ไม่ชัดเจน
ไม่แน่ว่าจะเป็นข้อตกลงที่มาจากฉันทามติแท้
ผมสงสัยว่าจะเป็น “การยอมเพราะเกรงใจ”
ไม่ใช่ความพร้อมใจ
ดังจะกล่าวต่อไปในข้อที่ว่าด้วยสิ่งที่ผมได้รับน้อยกว่าที่คาดหวัง
3. สิ่งที่ได้น้อยกว่าที่คาดหวัง
ผมคาดหวังข้อตกลงที่หนักแน่น
ที่จะนำไปสู่การดำเนินการแบบมีพลัง
ผมหวังให้มีการแลกเปลี่ยนซักถามกันว่าการปฏิบัติแบบใดบ้างที่ถือว่าเป็นไปตามกระบวนทัศน์ใหม่
และการปฏิบัติแบบใดบ้างที่ถือว่าทำตามความเชื่อแบบเก่า
ผมคาดหวังให้มีการพูดกันเรื่องวิธีปฏิบัติในหลากหลายระดับ
ลงไปถึง do’s and don’ts
ผมคาดหวังให้มีการยกตัวอย่างการดำเนินการตามแนวคิดใหม่
ที่เกิดความสำเร็จ
และอยากได้ยินการนำเสนอว่ามีความสำเร็จเรื่องใดที่น่าจะเกิดขึ้นภายใต้กระบวนทัศน์แบบเก่า
อยากได้ฟังการถกเถียงลงไปในประสบการณ์ระดับปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม
แต่ในที่ประชุมดูจะยอมรับความล้มเหลวในการบริหารหลักสูตรและบริหารการพัฒนาครู
ของกระทรวงศึกษาเร็วเกินไป
เนื่องจากท่านรัฐมนตรีตำหนิสภาพที่เป็นอยู่อย่างรุนแรง
และผู้เข้าร่วมประชุมก็เกรงใจที่จะแย้งว่าส่วนดีๆ
ก็มีอยู่เหมือนกัน
ผมคาดหวังว่าจะมีการถกเถียงด้านหลักการ
วิธีคิด กระบวนทัศน์กันอย่างอิสระ
ในบรรยากาศของความเท่าเทียมกัน
แต่ผมผิดหวังอย่างแรง
เพราะบรรยากาศเป็นแบบลูกน้องมาชี้แจงต่อนาย
หรือมาเสนอแผนปฏิบัติที่สนองนโยบายของนาย
ทำให้ผมสงสัยว่า “คณะกรรมการอำนวยการ” แบบไทยๆ
ควรมีองค์ประกอบอย่างไร
ควรมีการดำเนินการอย่างไร จึงจะเป็นคณะกรรมการที่ใช้พลังสมอง
พลังความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
ได้อย่างจริงจัง
ตรงนี้คนผิดน่าจะเป็นผม
คือผมเขลาเกินไปที่คาดหวังบรรยากาศดังกล่าวในที่ประชุมที่รัฐมนตรีเป็นประธาน
และข้าราชการประจำเป็นกรรมการผู้นำเสนอ
ผมแปลกใจวิธีจัดการประชุม
ซึ่งผมคาดว่าเป็นการประชุมคณะกรรมการอำนวยการ
การประชุมครั้งแรกน่าจะทำความชัดเจนเชิงนโยบาย
แต่นี่เน้นการนำเสนอแผนปฏิบัติเลย
บรรยากาศคล้ายๆ จะต้องเร่งรีบดำเนินการ
ผมก็เลยสงสัยว่าบรรยากาศนี้คงจะตกอยู่ภายใต้การระบาดของโรคลุกรี้ลุกลน
ในวงราชการไทย เพราะโดนจี้โดยซีอีโอ
ผมสงสัยว่าการประชุมแบบนี้ และการทำงานแบบนี้
อาจเป็นวัฒนธรรมประนีประนอมแบบไทยๆ
ซึ่งทำให้ไม่เกิดการเผชิญหน้า
แต่ก็ไม่เกิดการทำงานแบบทุ่มเทถวายชีวิตเพราะคนทำมีความเชื่อ มี
commitment
ต้องการทำให้สำเร็จเพราะรู้สึกเป็นความท้าทาย
ผมอยากให้ความรู้สึกเหล่านี้ของผมเป็นสิ่งที่ผิด
อยากให้สิ่งที่จะเกิดขึ้นจริงเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าผมเข้าใจผิด
4. สิ่งที่ผมจะทำต่อไป
• ผมจะหาทางเสนอวิธีปฏิบัติโดยเอาเทคนิค KM
เข้าไปเป็นเครื่องมือให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างกว้างขวาง
ให้เกิดความอิสระในระดับปฏิบัติ (สพท., โรงเรียน,
กลุ่มครู)
เพื่อให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้อย่างมีพลัง
ให้สามารถขุดค้นความดี – ความสำเร็จที่มีอยู่แล้ว
เอามาขับเคลื่อนการดำเนินการแบบเอาความสำเร็จมาเป็นทุน
และให้ส่วนกลาง คือ สพฐ. และ สคบศ.
(สถาบันพัฒนาครูและผู้บริหารการศึกษา) สามารถใช้ KM
ในการบริหารจัดการในรูปแบบใหม่ คือจัดการแบบเน้นทำหน้าที่
empowerment
• จะหาทางทำความเข้าใจ “การดำเนินการแบบกระจายอำนาจ ส่งเสริมให้
กลุ่มครู, โรงเรียน/สถานศึกษา, และ สพท. ดำเนินการเอง”
ว่ามีความหมายในเชิงปฏิบัติอย่างไร (operative
definition)
ผมมีความเห็นว่าหัวใจอยู่ที่นิยามของคำว่า “ผลงาน”
ครับ
คงต้องทำให้เป็นที่เข้าใจกันว่าผลงานของครูคือการร่วมกันดำเนินการให้นักเรียนเกิดความรู้และปัญญาตามระดับของนักเรียน
และทำให้บรรยากาศของโรงเรียนให้ความสุข
ความสนุกแก่นักเรียน ความสำเร็จของ สพท.
คือการสนับสนุนให้โรงเรียนมีทรัพยากร มีกิจกรรมข้ามโรงเรียน
เพื่อให้การพัฒนาคุณภาพของการเรียนรู้
และความสำเร็จน้อยใหญ่เป็นเรื่องที่ได้รับการเอาใจใส่ การยกย่อง
เป็นผลงาน ส่วน สพฐ. และ สคบศ.
ก็มีผลงานตรงที่ได้เข้าไป empower ให้เกิดความสำเร็จในระดับกลุ่มครู,
โรงเรียน/สถาบันการศึกษา, และ สพท.
สิ่งที่ต้องระวังก็คือต้องไม่ทำให้ทาง กลุ่มครู,
โรงเรียน/สถาบันการศึกษา, และ สพท. คิดว่ากิจกรรมตามที่ สพฐ. และ
สคบศ. นำเสนอเป็นการดำเนินการเพื่อผลงานของ สพฐ. และของ
สคบศ. คือต้องไม่ทำให้กลุ่มครู, โรงเรียน,
และ สพท. รู้สึกว่าการที่ตนดำเนินการตามโครงการนี้
ก็เพื่อให้เป็นไปตามที่ สพฐ. และ สคบศ.
ต้องการ
หรือเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐมนตรี
ต้องหากุศโลบายต่างๆ นานา
ที่จะทำให้ผลการดำเนินการตามโครงการที่เสนอเป็นผลงานของครู,
โรงเรียน/สถาบันการศึกษา และ สพท. ไม่ใช่ของ สพฐ. และ
สคบศ.
ประเด็นที่กล่าวมีความลึกซึ้งในระดับความเชื่อ
ระดับกระบวนทัศน์
ซึ่งผมไม่คิดว่าจะเปลี่ยนได้เร็ว
แต่สามารถเปลี่ยนได้
• จะเสนอให้มีการฝึกเจ้าหน้าที่ของ สพฐ. และ สคบศ.
ที่จะไปสัมผัสกับกลุ่มครู, โรงเรียน, และ สพท.
เสียใหม่ ให้มี empowerment skill / learning
skill ไม่ใช่ commanding skill หรือ training
skill นั่นคือ ผมเห็นว่าสิ่งแรกที่ควรทำคือฝึกอบรมคนของส่วนกลาง
ให้เข้าใจกระบวนทัศน์ใหม่
และทักษะใหม่
ให้สามารถเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับส่วนผู้ปฏิบัติด้วยท่าทีใหม่
ทักษะใหม่ และเป้าหมายใหม่
คือเป้าหมายเข้าไปเสาะหาความสำเร็จมาทำความเข้าใจ
ยกย่อง บอกต่อ
และหาทางส่งเสริมให้ผู้ปฏิบัติทำได้ดียิ่งขึ้น
ให้ได้เรียนรู้เพิ่ม
ให้ได้มีโอกาสทำสิ่งที่ยากยิ่งขึ้นไปอีก
ซึ่งหมายความว่าจะได้รับการปูนบำเหน็จ หรือเลื่อนขั้น
หรือได้รับรางวัลในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
โดยนัยนี้
คนส่วนกลางจะต้องเรียนรู้ทักษะในการเสาะหาความสำเร็จ
ความดีความชอบจะอยู่ที่ความสามารถในการเสาะหาความสำเร็จที่แท้จริง
และการทำให้ความสำเร็จนั้นยิ่งดีขึ้นและเกิดการขยายเครือข่ายออกไป
รวมทั้งการดำเนินการจัดให้มีกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้มีความสำเร็จด้วยกัน
และกับผู้ต้องการเข้ามาขอเรียนรู้ นั่นคือ
คนของส่วนกลางจะต้องไปทำหน้าที่
“คุณอำนวย” และต้องเรียนรู้ทักษะในการเป็น
“คุณอำนวย”
• จะเสนอให้คณะกรรมการอำนวยการกำหนดให้คณะอนุกรรมการทั้งสองไปคิดว่าในระบบใหม่ของการพัฒนาครู
และพัฒนาหลักสูตร Core Competence ของข้าราชการใน สพฐ.
ส่วนกลางคืออะไร, ของข้าราชการใน สคบศ. คืออะไร,
ของ ข้าราชการใน สพท. คืออะไร,
ของครูในโรงเรียนคืออะไร, และมีตัวชี้วัด Core
Competence เหล่านั้นอย่างไร ครูที่มี Core
Competence สูงกว่าระดับ
และเงินเดือนของตนจะได้รับผลประโยชน์อย่างไร
กลไกนี้น่าจะช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงได้
ผมมองว่าการเข้าไปวัด Core Competence
ครูโดยการสอบหรือให้ตอบแบบสอบถามไม่น่าจะเป็นวิธีการที่ถูกต้อง
วิธีการที่น่าจะดีกว่าคือดูที่ผลงาน
คือผลการเรียนรู้ของนักเรียน
ครูที่มีผลงานดีควรได้รับการเชื้อเชิญให้มาเล่าว่าตนคิดอย่างไร
ทำอย่างไร แล้วมีกระบวนการสกัด Core
Competence ออกมา
กระบวนการดังกล่าวควรพยายามทำโดยตรวจสอบว่าผลงานนั้นๆ
เป็นผลของทีมงานหรือเปล่า ถ้าเป็นผลของทีมงาน
ต้องเชื้อเชิญมาร่วมกันสกัดความรู้ทั้งทีม
ข้อเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา (1)
ข้อเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา (2)
ข้อเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา (3)
ข้อเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา (4)
ข้อเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา (5)
ข้อเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา (6)
ข้อเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา (7)
ข้อเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา (8)
ข้อเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา (9)
วิจารณ์ พานิช
๔ มค. ๔๙
เรียน คุณหมอวิจารณ์ที่เคารพ
ก.ค.ศ.กำหนดการประเมินครูและบุคลากรทางการศึกษาไว้ 3 ด้าน คือ 1)ด้านวินัย คุณธรรมจริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพ 2)ด้านคุณภาพการปฎิบัติงาน(competencies) และ 3) ด้านผลการปฎิบัติที่เกิดแก่ผู้เรียนและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง หากสถานศึกษาจะใช้ตัวบ่งชี้แต่ละด้านนี้เป็นเครื่องมือประเมินครูหรือให้ประเมินตนเอง เป็น Needs Assesment :NA ให้เป็น database ในการพัฒนาครูเป็นรายคน ในเส้นทางการพัฒนาวิชาชีพให้เป็นชีวิตจริง โดยมุ่งให้เกิดก้าวหน้าแก่ผู้เรียน และจะเกิดความก้าวหน้าในวิชาชีพไปพร้อมกันด้วยก็น่าจะเป็น career path ที่น่าจะเป็นกลยุทธ์ในการพัฒนาครูไหมครับ...คุณหมอครับ..ผมมีบล็อกของตัวเองแล้วนะครับ...
ธเนศ ขำเกิด