ในระยะสองสามวันที่ผ่านมาผมได้คุยกับคุณเม้ง ในเชิงของแนวคิดว่าเราจะนำความรู้ สู่ระบบการเก็บรวบรวมและการใช้งานจริง รวมทั้งส่งถ่ายในระบบอินเตอร์เน็ตได้อย่างไร
คุณเม้งได้เสนอว่าควรจะมีสำนักงานปราชญ์แห่งชาติ
ซึ่งเป็นตัวสนับสนุนที่จะทำให้เกิดการเผยแพร่ความรู้ โดยบุคคลระดับปราชญ์ที่ไม่ค่อยมีเวลา และไม่ต้องมาทำเอง ซึ่งควรจะมีเจ้าหน้าที่ ซึ่งคอยเก็บรวบรวม วิเคราะห์ สังเคราะห์ และนำความรู้ต่างๆ เหล่านั้น เข้าสู่ระบบฐานข้อมูล และระบบข้อมูลข่าวสาร
แต่ผมกลับเสนอว่าประเด็นใหญ่ของเรื่องนี้ อยู่ที่ระบบการใช้งาน ระบบการบ่มเพาะความรู้ ซึ่งถ้าเทียบในระดับของการจัดการความรู้ 4 ระดับ ก็คือ
ตอนนี้เรามีหินกับอากาศ เหมือนโลกในระยะเริ่มต้น เมื่อ ๔๕๐๐ ล้านปีมาแล้ว
คือมีความรู้ที่เป็นภูมิปัญญาและมีระบบอินเตอร์เน็ต
แต่ขาดการเชื่อมโยงกันของระดับเหล่านี้ ก็คือขาดดินและขาดน้ำที่มีประสิทธิภาพ
คำว่าดิน คือการนำความรู้ไปใช้ให้เกิดผล เกิดการขยายผล การนำไปใช้ ให้การเกิดการงอกงามต่างๆ
คำว่าน้ำ คือระบบฐานข้อมูล ที่เป็นจริง ที่ใช้ได้จริง ซึ่งรวมความถึง ระบบ Modeling หรือระบบแบบจำลองต่างๆ ของการใช้ความรู้
เพราะฉะนั้น เรามีแต่หินกับอากาศ ทำให้ระบบงานของเราไม่เชื่อมโยงกัน
แล้วใครจะมาทำหน้าที่ตรงนี้ เราก็คุยกันว่า สถาบันที่น่าจะมาทำหน้าที่ตรงนี้ก็คือ
มหาวิทยาลัยที่อยู่ตามพื้นที่ต่างๆ
อาจจะจัดเป็นศูนย์การประสานงานระดับภาค ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคใต้ ประมาณนี้นะครับ
แต่ในความเป็นจริงนั้น มันก็มีขีดจำกัดมากมาย
โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยต่างๆ ปัจจุบันก็ยังไม่มีใครที่จะมีเวลา มีความคิดชัดเจนพอที่จะมาสนับสนุนงานตรงนี้
ทั้งๆที่เครือข่ายปราชญ์ในปัจจุบัน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากคุณหมอประเวศ วะสี และคุณหมออภิสิทธิ์ ธำรงวรางค์กูร อย่างเต็มแรง ก็ยังได้ในระดับการจัดกิจกรรม ซึ่งไม่ได้ลงลึกถึงเชิงของการจัดการความรู้มากนัก แต่เน้นไปถึงกิจกรรมการติดต่อสื่อสาร การทำงานวิจัย บางเรื่อง และการประชุมเครือข่ายประจำเดือนเท่านั้น
ในการที่จะทำงานให้เกิดผลอย่างจริงจัง ตามที่เราคุยกันไว้นั้น จำเป็นจะต้องมีโครงสรางที่เข้มแข็งและทำงานได้จริง ซึ่งไม่ใช่เฉพาะแค่อาจารย์มหาวิทยาลัยไม่กี่คนมาทำงาน แต่จะต้องมีบุคลากรสนับสนุนมากมาย นี่คือความฝันที่เราวางไว้
ทีนี้ถ้าเรามามองตามสภาพความเป็นจริงแล้ว เราต้องการคนเป็นจำนวนมากนั้น เราจะเอามาจากไหน แนวคิดนั้นไม่ยาก ยากที่จะเอาใครมาทำ ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ว่า
1. อาจารย์มหาวิทยาลัยหรือสถาบันไหนที่ชัดเจนพอ มีเวลามากพอ หรือที่มีจิตใจที่ทุ่มเท เพื่อทำงานให้เกิดผล เพื่อประเทศชาติเหล่านี้
2. การประสานงานนั้นเราจะใช้งบประมาณจากแหล่งไหน และดำเนินการอย่างไร เพราะเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญพอสมควร
แต่อย่างไรก็ตามผมยังคิดว่า ตัวบุคลากรจะเป็นเรื่องใหญ่ ตัวงบประมาณน่าจะเป็นเรื่องรอง เพราะในปัจจุบันหน่วยงานรัฐบาล ก็ทำงานสนับสนุนเครือข่ายปราชญ์อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไล่ไปไล่มาแล้ว จะพบว่าข้อจำกัดที่สำคญที่สุดของเรื่องนี้ คือบุคลากร ของสถาบันต่างๆ
ซึ่งอาจจะไม่มี หรือมี แต่ไม่ค่อยมีเวลา หรือมีเวลาแต่ไม่ค่อยเข้าใจ หรือเข้าใจแต่ยังไม่เชื่อมโยงกับการทำงานของหน่วยงานต่างๆ
ซึ่งทำให้งานของเครือข่ายปราชญ์ยังไม่บรรลุผล นี่คือช่องว่างที่ผมมองเห็นครับ ท่านอื่นใครมีความรู้สึกอย่างไร กับเรื่องนี้ครับ หรือมีข้อเสนอแนะอื่นๆ อยากจะได้ความเห็นไว้รวบรวมมากเลยครับ
ขอบคุณมากครับ
สวัสดีครับ ดร.แสวง
ขอบคุณครับ ครูนง
คุณเม้ง เขามีพลังสูง คิดไว ผมกำลังวิ่งตามดู แบบกลัวจะหลุดโค้งนะครับ
ผมก็หวังว่า ความพยายามของเราจะเกิดผลต่อความก้าวหน้าของชาติครับ
ขอบคุณมากครับ ที่ตามมาดูครับ
สวัสดีครับ
นึกถึงวันที่เราคุยกันเรื่องนี้ที่บ้านครูบาฯ นะอาจารย์ ใจยังนึกว่าถ้าน้องบ่าวเม้งนั่งร่วมวงด้วยคงมันหยด ยิ่งได้ครูนงอีกคน คงไม่ต้องนอนกันล่ะ
กราบสวัสดีครับ ท่าน อ.แสวง ท่านครูบา และทุกๆท่านนะครับ
เรียนครูบา และคุณเม้ง