ความเชื่อเรื่องผี


เมื่อได้ทราบถึงทรรศนะเรื่องผีตามแนวพระพุทธพจน์แล้ว ถึงถามตนเองว่าขณะนี้เราเป็นผีหรือเป็นเทวดา? ถ้าคำตอบบอกว่าเป็นผี เราจะกลัวผีทำไม?

                ผีมีความหมายตามพจนานุกรมว่าสิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสภาพลึกลับ มองไม่เห็นตัว แต่อาจปรากฏเหมือนมีตัวตนได้ อาจให้คุณหรือโทษได้ มีทั้งดีและร้าย เป็นคำที่ใช้เรียกคนที่ตายไปแล้ว

               

คำว่า ผี มีอยู่ในพระไตรปิฎก ๑๙ เล่ม จำนวน ๑๕๕ แห่ง เช่น คำว่า ภิกษุหมอผี , ถูกผีเข้า , ป่าช้าผีดิบ , บาตรกะโหลกผี , ผีเสื้อ , ผีเสื้อน้ำ เป็นต้น

             พระไตรปิฎกฉบับหลวง มีนัยเรื่องผีที่ทรงตรัสถึงการอยู่ร่วมกัน ๔ ประการ ดังนี้

                พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแก่หมู่ชนชายหญิงที่กำลังเดินทางไปมาระหว่างเมืองมธุราและเมืองเวรัญชาว่า ดูกรคหบดีและคหบดีทั้งหลาย การอยู่ร่วมกัน ๔ ประการ คือ

. ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงผี                  

. ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงเทวดา

. ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงผี         

. ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงเทวดา

อธิบายว่าสามีและภรรยาเป็นผู้ทุศีลเป็นคนตระหนี่  มักด่าว่าสมณพราหมณ์ ประการที่หนึ่ง

ส่วนภรรยาเป็นผู้มีศีลรู้ความประสงค์ของผู้ขอ ปราศจากความตระหนี่ ชื่อว่าชายผีอยู่ร่วมกับหญิงเทวดา ประการที่สอง

ภรรยาเป็นผู้ทุศีล มีความตระหนี่ มักด่าว่าสมณพราหมณ์ ส่วนสามีเป็นผู้มีศีล รู้ความประสงค์ของผู้ขอ ปราศจากความตระหนี่ ชื่อว่าชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงผี ประการที่สาม

สามีภรรยา เป็นผู้มีศรัทธา รู้ความประสงค์ของผู้ขอ มีความสำรวมเป็นอยู่โดยรวม เจรจาถ้อยคำที่น่ารักแก่กันและกัน ย่อมมีความเจริญรุ่งเรืองมาก มีความผาสุก ทั้งสองฝ่ายมีศีลและวัตรเสมอกัน  รักใคร่กันมาก ไม่มีใจร้ายต่อกัน ครั้นประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว ย่อมเป็นผู้เสวยกามารมณ์ เพลิดเพลินบันเทิงใจอยู่ในเทวโลก ชื่อว่า ชายเทวดา อยู่ร่วมกับหญิงเทวดา ประการที่สี่

 จากพระสูตรที่นำมาแสดงนี้ พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ผี  หมายถึง บุคคลที่เป็นผู้ทุศัล คือเป็นผู้มักฆ่าสัตว์ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ ดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัย มีจิตใจถูกความตระหนี่ครอบงำ ขอบด่าและบริภาษสมณพราหมณ์ ซึ่งเมื่อพิจารณาตามพระพุทธพจน์ที่ทรงแสดง ย่อมเห็นถึงความทุกข์ที่เกิดขึ้นในครอบครัวที่มีผีอยู่ และความสุขของครอบครัวที่มีเทวดาอยู่

แต่ผีที่ปรากฎอยู่ตามความเชื่อของสังคมไทยนั้นเป็นนัยแห่งชีวิตหลังความตาย เป็นนัยแห่งมิติที่ซ้อนอยู่กับมิติที่เราอาศัยอยู่นี้ ผีมีจริงหรือไม่ อาจตอบได้ว่ามีจริง เพราะเมื่อบุคคลประพฤติตนเป็นคนทุศีล เมื่อตายไปแล้ว ย่อมไปบังเกิดในทุคติภูมิ มีแดนนรก กำเนิดดิรัจฉาน แดนแห่งเปรต และแดนแห่งอสุรกาย เป็นต้น สัตว์ในดินแดนเหล่านี้ควรเรียกว่า ผี  ทั้งสิ้น

เราทุกคนต่างทราบดีว่านรกภูมิ เปรตภูมิ อสุรภูมิ เป็นดินแดนแห่งความทุกข์ยากลำบากมีภาพจิตรกรรมฝาผนังหรือประติมากรรมแสดงให้เห็นถึงแดนเหล่านี้ตามวัดหลายแห่ง นั้นเป็นชีวิตหลังความตายที่เราได้เรียนรู้มาจากพระพุทธศาสนาและบรรพชน เมื่อพิจารณาสังคมที่เราอาศัยอยู่ ย่อมเห็นถึงสภาพแห่งความทุกข์ยากลำบากในการดำรงชีพของคนในสังคมบางกลุ่ม แต่คนเหล่านั้นเป็นผู้มีความเป็นผีในจิตใจทุกคนหรือ? บางคนอาจมีความพึงพอใจในสภาพที่ตนดำรงอยู่ตามแนวทางแห่งความสันโดษที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนหรือที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแนะนำไว้ในเรื่องเศรษฐกิจแบบพอเพียง มีความสุขความยินดีในการดำเนินชีวิตของตน เขาย่อมเป็นเทวดาตามแนวพระพุทธพจน์ได้ ถ้าเขาเป็นผู้มีศีลและกัลยาณธรรมและย่อมเป็นผีได้ ถ้าเขาเป็นคนทุศีลประกอบแต่บาปกรรม ถ้าเราเห็นถึงสภาพแห่งความสุขสำราญยินดีในการดำรงชีวิตของคนบางกลุ่ม เรามั่นใจได้หรือว่าคนกลุ่มนี้จะไม่มีความเป็นผีในตัวของเขา พิจารณาจากคนที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์จากสังคมเพื่อตนเองและหมู่คณะที่ความเป็นอยู่ดีเลิศกว่าคนอื่น เขาย่อมมีความเป็นผีในตัวของเขาเสมอตราบที่เขายังละโมบแสวงหาผลประโยชน์นั้นอยู่

เมื่อได้ทราบถึงทรรศนะเรื่องผีตามแนวพระพุทธพจน์แล้ว ถึงถามตนเองว่าขณะนี้เราเป็นผีหรือเป็นเทวดา? ถ้าคำตอบบอกว่าเป็นผี เราจะกลัวผีทำไม? ในเมื่อเราก็เป็นผี เราต้องทำลายความเป็นผีให้หมดไปจากจิตใจของเรา ทำตนให้เป็นเทวดาในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ เพื่อที่จะได้พบความสุขความบันเทิงใจตามแนวทางแห่งพระพุทธศาสนา เมื่อความตายมาถึง ชีวิตหลังความตายของเราย่อมเป็นสุคติสรรค์แน่นอน อยากจะเป็นผีหรือเทวดาก็ขึ้นอยู่กับเราเอง

หมายเลขบันทึก: 117796เขียนเมื่อ 7 สิงหาคม 2007 21:25 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 มิถุนายน 2012 17:47 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท