เรื่องฝากด่า


อ้าว เป็นอันว่า เราด่าคนอื่น แต่คนในรถรับไปเต็มๆครับ

วันที่ 7 สิงหาคม 2550

วันนี้เป็นวันอังคารของสัปดาห์ที่ 14 นับไปก็จะเหลือ 99 วันแล้ว เลขสวยดีนะครับ

                วันนี้ถูกด่าตั้งแต่เช้า ข้อหาที่ครูหาญส่ง SMS ให้ผมไปเข้าห้องผ่าตัดตอน 8.30 น. แต่ตอนที่ท่านส่งมานั้น ผมกำลังดูคนไข้อยู่ เลยเพลินและลืมเปิดอ่านข้อความเลยครับ เมื่อ round เสร็จก็ลงไปกินข้าวที่ Kopitium ปรากฏว่าท่านโทรมาตามเลยครับ เพิ่งกินลูกชิ้นมื้อเช้าไปได้ 2 ลูกเอง ก็ต้องวิ่งตัวปลิวเข้าห้องผ่าตัดไปเลย กาแฟก็ยังไม่ได้กลั้วคอ

                เรื่องนี้สุกี้เคยบอกผมแล้วว่าให้ฟังเสียงโทรศัพท์ให้ดีๆ เพราะหากท่านเรียกมาแล้วไร้การตอบสนองแล้วไซร้ เตรียมตัวตายได้เลยครับ ก็เป็นอย่างผมในวันนี้ แถมคนไข้คนนี้คุณหมออาร์ลีนยังลืมเขียนชื่อคุณหมอเจ้าของไข้ใส่สติ๊กเกอร์ให้ท่าน ดังนั้นเวลา list คนไข้เข้าห้องผ่าตัด เลยเป็นชื่อครูคนเดียว (อย่างที่บอกก็คือว่า ที่นี่เขาแบ่งปันกันทำมาหากินครับ) ท่านเลยฝากด่าอาร์ลีนผ่านมายังผม เลยสงสัยเหมือนกันว่า ตกลงใครถูกด่ากันแน่หว่า แต่ไม่เป็นไรครับ เพราะท้ายที่สุดท่านก็ให้ผมผ่าตัดนั่นแหละ TVT-O

                เรื่องด่าฝากนี้พูดแล้วเจ็บหัวใจครับ ใครเคยขับรถไปด่าไปบ้างไหมครับ คนนู๊นขับรถห่วย ไปไถนาดีกว่าไป๊ ทำไมต้องตัดหน้าด้วยวะ งี่เง่าเอ๊ย และอีกหลายๆคำที่หลุดออกจากปากเราเมื่อยามขับรถ ลองถามตัวเองดูสักนิดเถิดว่าเรากำลังด่าใคร คำตอบคือด่าคนขับรถคันนั้นไง ถูกครับ แล้วใครรับฟังการด่าล่ะ ตอบคือลูก เมียและเพื่อนที่นั่งรถเราอยู่ขณะนั้น  อ้าว เป็นอันว่า เราด่าคนอื่น แต่คนในรถรับไปเต็มๆครับ  ฮาเลยใช่ไหมครับ

                 ช่วงเช้าวันนี้ผ่าตัดไป 2 ราย คนที่ 2 นี่สนุก เพราะว่ามดลูกมีขนาดใหญ่เท่ากับมดลูกคนท้อง 10 สัปดาห์ เรายังสามารถผ่าตัดมดลูกออกทางช่องคลอดได้ น่าอัศจรรย์ใจครับ ครูผมเก่งจริงๆ แถมเราใช้เวลาไปแค่ 30-45 นาทีเท่านั้นเอง

                ตอนบ่ายมีประชุมเรื่องความก้าวหน้างานวิจัย ผมมีความก้าวหน้าไปประมาณ 20% เท่านั้นเอง ตอนนี้เก็บข้อมูลได้เพียง 200 ราย ในจำนวนกว่า 900 ราย ผมบอกครูว่า จะเก็บให้เสร็จก่อนกลับบ้าน อาจจะเอาไปวิเคราะห์และเขียนที่บ้าน ครูบอกว่าไม่ได้ เดี๋ยวจะต่อเวลาเรียนต่อที่นี่ให้ งานนี้เล่นเอาฮากันลั่นห้อง เพราะรู้ๆกันอยู่ว่าผมกำลังนับถอยหลัง (ฮา)

                ตอนเย็นวันนี้หลังเลิกงานเวลา 6 โมงกว่าๆ ผมกับดันดีจับรถ shuttle bus จากโรงพยาบาลไปยัง Bugis ด้วยกัน เพราะว่าดันดีจะไปโรงพยาบาล Ruffle ผมเลยอยากไปด้วยกัน และชวนดันดีไปกินอาหารไทยใน Bugis street ด้วย ผมบอกเขาว่าเป็นอาหารไทยนะกินได้ไหม ไม่ใช่ฮาลาล เขาบอกว่าไม่เป็นไร ขอให้ไม่มีหมูในจานข้าวเป็นใช้ได้ เลยสั่งข้าวผัดไก่และต้มยำกุ้งมาทานกัน อร่อยสุดซึ้งครับ เรียกป้าเจ้าของร้านมานั่งคุยกันอีก สนุกไปอีกแบบ งานนี้ดันดีติดใจอาหารไทยครับ

                เคยคุยกับอ.เต็มศักดิ์เมื่อครั้งสัปดาห์แรกที่อยู่กับท่านที่นี่ ท่านบอกว่ายามไปเมืองนอกจะไม่กินอาหารไทย เอาไว้ไปกินที่บ้าน แต่ในยามนี้ ยามที่คิดถึงบ้าน อยู่มานานกว่า 3 เดือน ผมไม่สนใจแล้วครับ กินให้มีความสุขดีกว่า อีกอย่างอาหารไทยเราไขมันน้อย ผักเยอะครับ กินแล้วระบบขับถ่ายดีกว่ากินอาหารพื้นเมืองของที่นี่ ที่เน้นแป้งและไขมัน กินแล้วเหนื่อย พุงหลาม หลอดเลือดแข็ง ผมรักอาหารไทยครับ
หมายเลขบันทึก: 117792เขียนเมื่อ 7 สิงหาคม 2007 21:07 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 เมษายน 2012 01:50 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

แวะมาทักทายคุณหมอค่ะ

ขอให้มีความสนุกสนานในการใช้ชีวิตในสิงคโปร์นะคะ

ขอบคุณครับคุณ P โปเกม่อน ที่แวะมาทักทาย

ผมมีความสุขง่ายครับ นี่เป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ทุกข์เป็นสุขเป็น จัดการมันได้ นี่แหละที่ทำให้ผมอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้

อ่านที่อ.หมอแป๊ะพูดถึงเรื่องด่าในรถแล้ว มีเรื่องฮา..ของน้องฟุงมาเล่าค่ะ เรานั่งอยู่ในรถตอนที่คุณพ่อกำลัง action อย่างที่อาจารย์เล่านี่แหละ น้องฟุงหันมาคุยกับคุณแม่ว่า พ่อขี่มอเตอร์ไซค์ดีกว่านะ พี่ถามเขาว่า ทำไมเหรอ น้องฟุงบอกว่า พ่อด่าน้อยกว่าเวลาขับรถ....(ฮา...)

พูดเรื่องด่าแล้ว ในแล็บวันก่อนเราก็คุยกัน พี่โอ๋บอกว่า ด่าไม่เป็น (เพราะไม่รู้สึกว่าคำพวกนี้มันช่วยระบายอะไร พี่สังเกตดูว่าคนที่ใช้คำด่าก็เพราะเป็นการระบายออกนั่นเอง) มีน้องในแล็บบอกว่า จริงเหรอ ไม่น่าเชื่อ ปรากฎว่าพี่ผู้อาวุโสในห้องบอกว่า วิธีการของพี่โอ๋ถ้าจะด่าก็คือ ชมแบบเจ็บๆและยิ้มๆไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น "พี่...นี่เก่งจังเลย ทำได้ยังงั้ย...เรียงไม่ถูกเลยสักแถว" พี่ก็เลยบอกว่า อ๋อ...ถ้าอย่างนี้เรียกว่าด่าละก็ ด่าเป็นค่ะ แต่ด่าแบบคำแรงๆทั้งหลายนั้น ไม่เคยพูด และพูดไม่เป็น 

วิธีนี้พี่เขาบอกว่า ทำให้เขารู้สึกดีใจก่อน แล้วก็ต่อด้วยการขำ ซึ่งก็จริงที่ว่า คนว่าเองก็จบที่การหัวเราะเหมือนกันไม่ใช่โกรธที่เขาทำไม่ได้อย่างใจเรา   

เดี๋ยวนี้ผมไม่ค่อยเป็นอย่างนี้แล้วครับ เงียบลงมากเมื่อเทียบกับตอนเป็นหนุ่มๆ

 

เคยเป็นเหมือนกันค่ะ...เวลาเจอใครขับรถแย่ๆ  (ซึ่งบางครั้งก็ไม่ใช่ผู้หญิง)  แบบว่าเจอขับปาดหน้า  อะไรทำนองเนี้ย  ก็จะนึกในใจ  (เพราะเราเป็นสุภาพสตรี  ด่าออกไปคงไม่ดีเท่าไหร่ 555  )  .........ว่า  " นัดกับยมบาลไว้รึไงพี่"  ...คือจำมาจากพี่ชายน่ะค่ะ......

อ้อ...จะบอกว่าตอนไปต่างประเทศ  ดิฉันก็จะแอบพกพวก ป๊อกกี้....ไปเยอะๆเลยค่ะ...บางทีคุณแม่ยังแอบให้น้ำพริก  กระป๋องเล็กๆ  ไปด้วยเลย   ตอนอยู่เมืองไทยก็ไม่ค่อยเห็นคุณค่าเจ้าน้ำพริกนี่หรอกค่ะ...แต่มารู้ซึ้งตอนไปต่างประเทศนี่เเหละค่ะ.....ให้เอาอะไรมาแลกก็ไม่ย้อม  ไม่ยอม.............อร่อยสุดๆไปเลยค่ะ

 ยังไงก็สู้ๆนะคะ

สวัสดีครับคุณ P

เมื่อก่อนตอนเป็นหนุ่ม ผมถึงกับแช่งเลยครับ แต่เมื่อมานึกได้ว่า ถ้าเขาตายไปจริงๆ หรือเราถูกแช่งบ้างล่ะก็เลยขอโทษในใจ และเลิกตั้งแต่บัดนั้นครับ

เรื่องน้ำพริกก็เห็นด้วยครับ แต่ติดที่ว่าที่บ้านพักผมนั้น ผมไม่หุงข้าวกินเองครับ เกรงใจเจ้าของบ้าน เพราะว่าเขาเป็นมังสวิรัตครับ

ผมไม่ขาดอาหารไทยครับ เพราะกลับบ้านทุก 2 สัปดาห์ อีกทั้งจระเข้อย่างผม อะไรก็เข้าปากได้ครับ บ่มีปัญหา

ขอบคุณมากเลยครับที่เข้ามาเยี่ยมเยียน

P
สวัสดีค่ะ
คุณหมอเล่าเรื่องได้เก่งนะคะ อ่านเพลินดี ได้ความรู้ว่า พวกหมอเขาทำอะไรกันบ้าง
ที่อเมริกานะคะ พวกหมอระดับprofessorจะเป็นคนรับงาน และเอามาให้หมอเด็กๆทำ  ตัวเขาเข้ามาตรวจทีหลัง บางทีไม่แก้ไขเลย เพราะหมอหนุ่มๆเก่งแล้ว รายได้ มาแบ่งกัน professorได้มากที่สุด เพราะคนไข้เชื่อถือเขา
เวลาlong week end  หมอผู้ใหญ่ไม่อยู่ แต่เขาจะมอบหมายงานให้หมอหนุ่มสาว ทำแทน แต่จะเลือกคนที่เขาtrain มาเองกับมือ เพราะไว้ใจได้
มีเพื่อนเป็นหมอที่อเมริกาหลายคน รายได้ดีมาก แต่เหนื่อยมากค่ะ
พวกหมอผู้ใหญ่ จะออกทัวร์รายการๆกุศล ปีละครั้ง ลดภาษีค่ะ

คุณ P ครับ

ที่นี่ก็คล้ายๆกันครับ ระบบทุนนิยมต้องการความเชื่อถือในความเก่งในตัวคนก่อนเสมอ

associate consultant ที่นี่จะรายได้น้อยกว่า consultant และ senior consultant มาก คนไข้ต้องการคนที่เป็น senior ครับ ยิ่งเป็นกลุ่มที่จ่ายตังค์มากๆ

ข้อดีคือ แข่งกันทำงาน ทำมากได้ (เงิน) มาก ยิ่งทำมากยิ่งเก่ง ยิ่งเลื่อนระดับได้เร็ว

ข้อเสียคือ หมอหลายคนเอาใจหัวหน้า เพื่อได้เลื่อนขั้นเร็วๆ ระบบที่ขึ้นกับหัวหน้า มักจะติดกับความคิดเดิมๆ ไม่ค่อยสร้างสรรค์ครับ

เมื่อเทียบกับระบบราชการบ้านผม

ใครทำมาก เหนื่อยมาก  เงินเท่าเดิม ผลสุดท้ายคนที่รับผลกระทบคือคนไข้ครับ

สำหรับผมยึดถือทางสายกลางครับ

ไม่มีคนไข้ฝากพิเศษ เว้นแต่เพื่อนๆ เพื่อนอาจารย์ในมหาวิทยาลัย (ทำให้ด้วยความรัก ความพิศวาสส่วนตัวเลยครับ) วันหยุดไม่ทำงาน 100% เที่ยวเสมอเมื่อมีโอกาส (มีมากเสียด้วย) คนที่รับความสุขไปเต็มๆก็คือ คุณลูกและภรรยาครับ (ผมด้วย)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท