ท่องไพร ไปทีลอซู ตอนที่ 2


มาชมความงามของน้ำตกทีลอซูกันเลยค่ะ

   หลังจากที่เรานอนพักผ่อนเอาแรงกันแล้ว เช้าวันนี้พวกเราตื่นกันแต่เช้า ล้างหน้า-แปรงฟันกันที่ลำธารค่ะ น้ำใสสะอาดมาก (เพราะน้ำในห้องน้ำไม่ไหล ที่มีอยู่ในอ่างก็ขุ่นเป็นโคลน อันนี้อยากให้ทางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผางช่วยแก้ไขด้วยค่ะ)

   วันนี้ได้แม่ครัวเป็น นทพ. จากคณะเราเอง อาหารเป็นไข่เจียว ยำกุนเชียง ปลากรอบ แพนงหมู และก็หมูแดดเดียว หรูทีเดียวใช่ไหมคะสำหรับการเข้าป่า

   หลังกินข้าวเช้าเสร็จสรรพ ก็ได้เวลาเดินเข้าชมความงามของน้ำตกแล้ว ระยะทาง 1.5 กิโลเมตร กับทางเดินขั้นบันไดที่ทางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทำไว้ให้ บวกกับความงามของธรรมชาติที่มีให้ชมสองข้างทาง ทั้งดอกกระเจียวหลายสีสัน เห็ดป่า และก็น้ำตกเล็กๆ ที่ไหลผ่านแก่งหิน ทำให้พวกเราใช้เวลาแค่ประมาณ 20 นาที ก็สามารถเดินถึงบริเวณน้ำตกแล้ว เสียงน้ำตกดังกึกก้องอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนตอนที่เดินเข้าไปใกล้จะถึง ทำให้เราวาดภาพความยิ่งใหญ่อลังการของมันไม่ถูกเลยทีเดียว

   และนี่ก็เป็นภาพที่พวกเราชาวทริปรอคอยมานาน ให้ดูกันเต็มๆ 2 ภาพเลยค่ะ

   แม้ว่าช่วงที่ผู้เขียนเดินทางเข้าไปจะมีคนเยอะมาก เพราะเป็นวันหยุดยาว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ภาพความสวยงามตามธรรมชาติด้อยลงไปซักนิด แต่ก็น่าเสียดายที่พวกเรามีเวลาไม่มากนัก เพราะวันนี้มีภาระกิจที่ต้องไปเลี้ยงอาหารน้องๆ นักเรียนชาวเขาที่โรงเรียนอุ้มผางวิทยาคม จึงต้องรีบเดินออกมา (อดเล่นน้ำตกเลย)

   ขากลับเที่ยวนี้อากาศไม่เป็นใจ เพราะแดดค่อนข้างร้อนมาก ผู้เขียนเองดื่มน้ำไปเกือบ 2 ลิตร ทั้งที่ปกติเป็นคนดื่มน้ำน้อย แถมตอนที่กำลังจะลุยป่าไปลงเรือก็มีฝนตกกระหน่ำลงมาอีกระลอกใหญ่ ทำให้ขากลับของเราค่อนข้างจะทุลักทุเลมาก เพราะนอกจากสัมภาระที่เราต้องแบกกันเองไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าเป้ ถุงนอน และน้ำดื่มที่ต้องยัดให้เข้าไปอยู่ในเสื้อกันฝนแล้ว น้องๆ นิสิตหลายคนที่ใส่รองเท้าแตะไปก็ลื่นกันก้นจ้ำเบ้าไปหลายรอบ

   พวกเราต้องนั่งเรือยางตากฝนกันต่อไปอีกราว 2 ชม. จึงถึงบริเวณที่ต้องต่อรถกลับไปยังที่พัก แต่ขากลับบนเรือยางรอบนี้ เราต้องผ่านแก่งน้ำระดับ 2-3 กันอีก 2 แห่ง แต่น้องฝีพายของเราก็เก่งไม่เบา เพราะสามารถพาพวกเรากลับออกมาได้อย่างปลอดภัย ถามน้องๆ ว่าได้ค่าแรงกันเท่าไรสำหรับการพายเรือยางพานักท่องเที่ยว 6-8 คนต่อลำเข้า-ออกป่า น้องบอกว่าได้คนละ 600 บาทต่อทริป แต่ท่าทางน้องๆ ก็คงเหนื่อยไม่เบา สังเกตได้จากตอนที่เห็นน้องเขาเกร็งกล้ามเนื้อแขนเพื่อที่จะพาพวกเราหลบต้นไม้และแง่หินที่กีดขวาง เพราะช่วงที่เข้าไปน้ำค่อนข้างแรง 

   หลังการเดินทางอันยาวไกล พวกเราก็กลับเข้าพักที่โรงเรียนอุ้มผางวิทยาคม (ซึ่งหัวหน้าทริปคือพี่เกรียงไกร เป็นคนติดต่อประสานงาน) วันนี้จริงๆ พวกเราจะต้องไปทำขนมแกงบวชฟักทองให้น้องๆ รับประทาน แต่กว่าเราจะกลับไปถึงก็เย็นมากแล้ว ทางโรงเรียนก็เลยทำให้เสร็จสรรพ กลับไปอาบน้ำเสร็จก็เลยได้กินข้าวมื้ออร่อยกับน้องๆ เด็กชาวเขาเลยทันที

   อาจารย์ที่โรงเรียนเล่าให้เราฟังว่า น้องๆ กลุ่มนี้ซึ่งมีราว 200 กว่าคน เป็นเด็กชาวเขา กระเหรี่ยงบ้าง ม้งบ้าง ซึ่งทางบ้านมีฐานะไม่ค่อยดี เท่าที่ถามบางคนพ่อแม่มีลูกเกือบ 10 คน บ้านอยู่ไกลจากโรงเรียนราว 60-180 กิโลเมตร ถ้าหากทางโรงเรียนไม่รับให้กินอยู่ประจำที่โรงเรียน พวกเขาก็จะไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ สำหรับอาหารการกินทางโรงเรียนจะได้มาจากการรับบริจาคบ้าง ให้นักเรียนไปทำการแสดง (ประจำเผ่า) เพื่อหาเงินตามรีสอร์ทในวันหยุดบ้าง ก็พอมีประทังชีวิตกันไป อาจารย์บอกว่าค่าอาหารของน้องๆ ตกราวมื้อละ 3 บาทต่อคน กับข้าวต้องเป็นน้ำแกงที่จะช่วยทุ่นค่าใช้จ่าย เพราะทำให้เด็กรับประทานได้มากโดยไม่สิ้นเปลือง (ท่านใดต้องการช่วยเหลือ หรือบริจาคเงิน หรือเข้าโครงการพ่อแม่อุปถัมภ์สามารถดูรายละเอียดได้จาก  http://www.umphangs.com)

   หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ พวกเราจึงได้นำสิ่งของที่ได้รวบรวมมา และเงินบริจาคมอบให้ทางโรงเรียน ผู้เขียนขอขอบคุณเพื่อนๆ ชาวคณะทันตแพทย์หลายๆ ท่านที่ได้ร่วมแบ่งปันสิ่งของให้น้องๆ ไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

   เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเราได้ไปชมทะเลหมอกที่ดอยหัวหมดกับน้องๆ นักเรียนด้วย แม้ว่าจะออกเดินทางสายไปหน่อย แต่ก็ยังพอได้ชมความงาม (ของหมอกนะคะ)

   สำหรับทริปนี้ก็สิ้นสุดลงไปตั้งแต่เมื่อวาน แต่ภาพความประทับใจยังคงตราตรึงอยู่ในใจผู้เขียนไม่วาย ... เพื่อนๆ ละค่ะ ไปเที่ยวที่ไหนกันมาบ้าง ...

 

หมายเลขบันทึก: 115889เขียนเมื่อ 31 กรกฎาคม 2007 17:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน 2012 23:39 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

สวัสดีค่า กลับมาเป็นสาวชาวกรุงแล้วใช่ไหมคะ....555

เหนื่อยไหมเอย นิ้วเท้ากลายเป็นสีม่วงไหมน่า (ท่าจะไม่นะคะ....) แสดงว่ายังสาวอยู่นะคะเนี้ย ที่ไม่เป็นลมเป็นแล้งไปเสียก่อน....555.... ล้อเล่นนะคะ

น้ำตกสวยมากเลย อากาศดีไหมคะ สูดมาเต็มสองปอดเลยละสิคะ เด็กๆ ของพี่ซูบไปบ้างไหมคะ (เป็นห่วงอยู่คนเดียว คนนั้นถ้าซูบไปเดี๋ยวเค้าจะไม่งามคะ...555)

อ้อ!! เกือบลืม ลูกของหนูไปไงบ้างพี่ มีแววไหม (แววไรก็ได้... แววเก่ง แววเด็กดี แวว....  อยากเห็นหน้าจังคะ)

สุดท้าย...คิดถึ๊งคิดถึงพี่มากคะ...555

  • น้ำตกสวยมากครับ
  • เห็นท่าอาจารย์คงจะชอบถ่ายภาพ เพราะในรูปก็ถือกล้อง
  • การถ่ายภาพน้ำตกให้สวยนั้น เรียนเสนอให้ใช้เทคนิดชัตเตอร์บี โดยลอหน้ากล้องลง เพื่อเพิ่มสปีตชัตเตอร์ในเทคนิคชัตเตอร์บี จะได้ภาพที่สวยงามมากมายครับ
  • คิดว่าอาจารยืคงทราบแล้ว หรือว่ามีเทคนิดอื่นที่คิดว่าสวยงามกว่า อิอิ
  • เป็นทัศนะนะครับ ขอบคุณครับ
  • ลดหน้ากล้องนะครับ มิใช้ลอหน้ากล้อง พอดีพิมพ์เร็วไปหน่อย

ขอบคุณ

สวยงามครับ

(ทีแรก นึกว่าไป อัฟริกา ไม่รู้จัก ลอซู มาก่อน) 

ขอบคุณ อ.แนน บีเวอร์ และ อ.สมชายที่เข้ามาชม

ถึงบีเวอร์ สำหรับทีลอซูแดดแรงมาก ไม่สามารถเพิ่มสปีดชัดเตอร์ แม้จะลดหน้ากล้องแล้ว เพราะรูปจะออกมาสว่างมาก จริงๆ อาจารย์ก็ชอบถ่ายรูปแหละนะ แต่ไม่เคยถ่ายสวยเลย (555) เอาไว้ถ้า Photo ของมอเปิดอบรม ก็เข้ามาชักชวนกันบ้างนะคะ

  • อยากไปมากๆค่ะ แต่ก็อย่างที่บอกว่าต้องออกกำลังกายไว้มากๆ
  • เพราะว่าทางเดินขึ้นเขาชันมาก
  • มีโอกาสจะไปบ้างค่ะ
  • ขอบคุณประสบการณ์ดีๆที่มาเล่าสู่กันฟังนะคะ
  • คงจะสนุกน่าดูเลยนะค่ะ ภาพสวยค่ะ
  • เป็นวันหยุดที่น่าประทับใจจริงๆ
  • อยากไปบ้าง อิอิ

ผู้ใดสนใจอยากไปทริปเดินป่าอย่างนี้ เข้าชมได้ที่ http://www.trekkingthai.com/board/show.php?Category=trekking&forum=4&No=97751

เพราะพี่เกรียงไกร นักจัดทริปเดินป่าเชิงการกุศล (แบบว่าได้เที่ยวด้วย ได้ร่วมทำบุญด้วย) มีทริปอีก 3 แห่ง คือ

- น้ำตกทีลอซู ช่วงเดือน พ.ย. (เดินน้อยกว่าตอนที่ผู้เขียนไปเยอะเลย)

- ดอยหลวงเชียงดาว ช่วง พ.ย. เช่นกัน

- และดอยหลวงพะเยา ช่วงเดือน ธ.ค.

ใครสนใจก็อย่าลืมชวนผู้เขียนไปด้วยนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท