กว่าจะเป็นแม่พิม


โดย คุณครูยุพิน ป่าตาล

 

                                                                                                            

คำนำ

         ความสำเร็จคือสิ่งที่ปรารถนา         ความก้าวหน้าคือสิ่งที่มุ่งหวัง
  กำลังใจจากครอบครัวคือพลัง      เดินสายกลางได้เป็นครูอยู่พอเพียง

           สาวน้อยผู้อ่อนหวาน   อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอคนหนึ่ง  โชคดีมากที่เกิดมาจากครอบครัวที่อบอุ่น  แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์  ทำให้เธอต้องผจญชะตาชีวิต ที่ผกผัน ประสบการณ์ชีวิตในอดีต  ส่งผลให้เธอเข้มแข็ง   และมีสติรู้จักคุณค่าของ  " เงินบาท " รู้จักบุญคุณคน  ความรัก  ความเคารพใน  " บุพการี "
  
                                                                           แม่พิม

"ทุกคนเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกทางเดินที่ดีและเลือกที่จะเป็นคนดีได้"
คำกล่าวนี้กึกก้องในโสตประสาทของเธอ   สาวน้อยผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษาคนหนึ่ง ซึ่งฉันรู้จักตัวตนของเธอเป็นอย่างดี   เธอเดินทางจากลุ่มลำชีเข้าสู่เมืองศิวิไลซ์  เป็นสาวฉันทนาตามคำแนะนำของญาติเธอ   เธอขยันทำงานเก็บเงินให้แม่ เพื่อส่งเสียให้น้องสาวได้เรียนหนังสือ  เธอแอบมอง  แอบชมสาวสำนักงานที่ใส่ชุดกระโปรงสวย ๆ แล้วเธอถามตัวเองว่า  " ทำอย่างไรถึงจะได้ทำงานที่ใส่ชุดสวย ๆ อย่างนั้นบ้าง " คำถามนี้อยู่ในใจเธอตลอดมา และยิ่งนานวันมันก็ยิ่งต้องการคำตอบ

           ท้องทุ่งเขียวขจีด้วยฝีมือของมนุษย์กลุ่มหนึ่งซึ่งรู้จักในนามของ  " ชาวนา " ที่ต้องเอาหลังสู้ฟ้าหน้าสู่ดินเพื่อแลกกับความเขียวชะอุ่มและความเจริญงอกงามของต้นข้าว   เด็กหนุ่มเดินตามคันนา ในมือมีคันเบ็ด  ไหล่ก็สะพายข้อง  มีน้องชายถือกระป๋องเหยื่อเดินตามหลัง  เธอทอดสายตาผ่านหน้าต่างรถดีเซลราง  แล้วจินตนาการถึงอดีตพร้อมทั้งอมยิ้มอย่างปรีดา  เธอสะดุ้งเฮือก  ตื่นจากภวังค์   เมื่อชายหนุ่มเซถลามาชนเธอ   เหตุจากคนขายของบนรถเดินชนชายหนุ่ม  " ขอโทษครับ...ผมไม่ได้ตั้งใจ "   " ไม่เป็นไรค่ะ " 
ตามองตาสื่อภาษาของหัวใจ  และไม่รีรอกามเทพก็แผงศรปักอกเธอกับชายหนุ่มกรุงเก่าเข้าอย่างจัง  ความรักของเธอช่างสดใสหวานฉ่ำ  และสุกงอมในเวลา ๔ ปี   ในที่สุด           ๑๔   พฤศจิกายน  พ.ศ. ๒๕๓๖  เธอและเขาก็จูงมือกันเข้าสู่ประตูสวรรค์ แล้วเช่าห้องอยู่ในซอยแห่งหนึ่ง  ซึ่งทางเข้า-ออกค่อนข้างจะลำบาก เธอจึงตัดสินใจ "ดาวน์รถมอเตอร์ไซด์" เมื่อรายจ่ายเพิ่มขึ้นแต่รายได้คงเดิม เธอจึงดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อความอยู่รอดของมอเตอร์ไซด์   โดยการขายทุกอย่างที่เพื่อนฉันทนาของเธอสั่งซื้อ เช่น ชุดชั้นใน ชุดนอน ผ้าห่ม   ผ้าปูที่นอน ฯลฯ  ถึงวันหยุดเธอจะไปรับของจากตลาดคลองเตย  และมาขายเงินผ่อนซึ่งมีกำไรงอกงามพอสมควร และเธอก็ยังส่งเสียน้องสาวเช่นเคย แต่ก็ไม่ลืมที่จะแบ่งปันพ่อแม่สามีเธอด้วย

" คุณตั้งครรภ์ "  หมอบอกเธอ   เธอยิ้มแก้มปริดีใจและตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่าสามีเธอเลย เธอเฝ้าทำนุบำรุงเลือดเนื้อเชื้อไข   เธอด้วยความรัก  ความห่วงหาเอื้ออาทร  แต่เธอก็ยังทำธุรกิจกับของเพื่อนฉันทนาเธอ   เธอและสามีใช้จ่ายอย่างมัธยัถส์  รู้จักกิน รู้จักเก็บ เธอจึงมีเงินออมจำนวนหนึ่ง   และด้วยสามีเธอซ่อมกล่องควบคุมรถแบ๊คโฮล  วันหยุดก็จะรับงานพิเศษ   ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องมีขา และมีปีก  ความภาคภูมิใจเป็นทวีคูณก็เกิดขึ้น   ๑๒  สิงหาคม   พ.ศ. ๒๕๓๘ รถยนต์คันงามจอดหน้าห้องเช่าของเธอ  ด้วยน้ำพักน้ำแรงความขยันขันแข็งและความรู้จักเก็บออมของเธอและสามี ความกตัญญูกตเวทีต่อบุพการีส่งผลให้เธอเป็นเช่นนั้น... เธอเชื่อ  ๑๐  ตุลาคม  พ.ศ. ๒๕๓๘  สิ่งมหัศจรรย์ที่สุดเกิดขึ้นกับเธอ ความเจ็บปวดทรมานที่สุดในชีวิตลูกผู้หญิง บัดนี้มันไม่ได้เป็นเพียงคำล่ำลืออีกต่อไป มันมาเยือนเธอแล้วจริงๆ และความเจ็บปวดก็หายเป็นปลิดทิ้ง เธอยิ้มทั้งน้ำตา เมื่อคุณหมอนำทารกเพศหญิงมาวางไว้บนอกของเธอ  เธอตื่นมาอีกครั้งพบว่า  มีญาติแสดงความยินดีกับเธอมากมาย   แม่เดินมาจับมือเธอข้างเตียง  น้ำตาแห่งความสุขความตื้นตันใจหลั่งไหลอาบสองแก้ม   เธอกอดแม่แน่น   มองดูลูกและมองสบตาแม่ของเธอ   ไม่มีคำพูดใด ๆ นอกจากดวงตาที่ฉายแววแห่งความอนาทร   เปล่งประกายความรักความผูกพัน   ซึ่งต่างคนต่างก็รับรู้ถึงความรู้สึกข้างในของกันและกัน  โดยไม่ต้องมีคำบรรยาย   และเธอก็ไม่เคยรับรู้มาก่อนเลยด้วยว่า    ความรักที่พ่อแม่มีให้กับลูกมันจะมากมายมหาศาลเพียงนี้
ฉันทนาต้องเลี้ยงลูกด้วยเลือดในอกของเธอเอง   เหตุด้วยลูกชองเธอไม่ยอมกินนมผง (นมชง)  เธอปรนนิบิติพัดวีสามีและลูกน้อยได้  ๑ ปีเศษ สามีของเธอก็ลาออกจากงานประจำเพื่อทำธุรกิจส่วนตัว ทำให้เธอได้มีโอกาสเดินทางไปด้วยทุกหนทุกแห่ง  ที่มีรถแบ๊คโฮล ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านแดดและผ่านฝนมากมาย บางครั้งรถอยู่ในบ่อดิน
อยู่ในป่าลึก เธอได้แต่อาราธนาสิ่งศิกด็สิทธิ์  เจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา ให้สามีเธอทำงานให้เสร็จเร็ว ๆเธอมักจะมีเสื่อ มีของเล่น  และน้ำกินน้ำอาบไปด้วย เพื่อพาลูกน้อยนั่งเล่นใต้ต้นไม้รอสามีทำงานจนกว่าจะเสร็จ   และเธอก็จะคอยเป็นเพื่อนคุย   ปลอบโยน  ให้กำลังใจ
และเอาอกเอาใจสามีทุกอย่าง   เธอกระโตงกระเตงลูกน้อยวัย  ๒ ขวบ ไปเป็นเพื่อนสามีทุก ๆ ที่ กระทั่ง  ๑๑  สิงหาคม  พ.ศ. ๒๕๔๐   ความเจ็บปวดที่แฝงไว้ด้วยความสุขก็มาเยือนเธออีกครั้ง    ความสุขผสมผสานกับความวุ่นวายก็เกิดขึ้นในห้องเช่าแคบ ๆเธอเลี้ยงลูกชายด้วยเลือดอุ่น ๆ  จากอกเธออีกครั้ง   และแล้วความคับแคบของห้องเช่า
ทำให้เธอมีความใฝ่ฝัน   และกระตือรือล้นอยากจะมีบ้านหลังเล็ก ๆ เป็นของตนเอง
              ผัวหาบเมียคอน  สองแรงแข็งขัน  ขยันทำมาหาเก็บ  กอปรกับเธอทำนุบำรุงบุพการีทั้งสองฝ่ายอย่างเสมอต้นเสมอปลาย  ส่งผลให้เธอ และสามีรุ่งเรืองในกิจการ สามีซ่อมกล่องควบคุม   และเธอก็รับงานจากเพื่อนฉันทนา  ซึ่งเป็นงานการฝีมือ งานเย็บกระดุม  เย็บสาบเสื้อ  จนกระทั่งเก็บเงินพอที่จะซื้อที่ดินแปลงเล็กๆ ข้างๆ ห้องเช่าของเธอ แต่ยังไม่มีเงินพอที่จะปลูกบ้าน  วันเวลาผ่านไปความเปลี่ยนแปลงอย่างมหันต์ก็ได้มาเยือนแม่ลูกอ่อนอย่างเธอ  น้องสาวที่เธอส่งเสียให้เรียนจนจบวิชาชีพขั้นสูง  ได้จุดประกายแสงสว่างและเติมไฟในฝันให้กับเธอ โดยการชักชวนเธอไปสมัครเรียนที่ มหาวิทยาลัย
รามคำแหง ในปีการศึกษา  ๒๕๔๑  เธอไม่เคยคิดเลยว่าจะมีโอกาสได้ใส่ชุดนักศึกษา และเธอสัญญากับตัวเองว่าจะต้องเรียนให้จบ   และทำงานที่ได้ใส่ชุดสวยๆ ให้จงได้ เธอนั่งรถเมล์ไปสอบวันแรกรถติดมาก   เธอหน้ามืดเลยตัดสินใจลงจากรถเมล์แล้วนั่งแท็กซี่ไปสอบเกือบไม่ทัน  " เจ็บใจนัก มีรถแต่ขับไม่เป็น  "เมื่อสอบเสร็จก็หัดขับรถตามคำแนะนำและกำลังใจจากสามีจนสอบได้ใบอนุญาต  ( ต้องขอบคุณรถเมล์คันนั้นมาก )     แต่แล้วความฝันของเธอก็เกือบพังทลาย    เพราะหนึ่งปีผ่านไปเธอสอบได้เพียง  ๑๕  หน่วยกิต เธอหมดแรง  เหนื่อยหน่าย  ท้อแท้  สิ้นหวัง  เธอคิดจะเลิกเรียน  แต่พ่อแม่  พี่น้องและสามี
คอยปลอบโยน   ให้กำลังใจตลอดเวลา   บวกกับลูกชายจะเข้าเรียนอนุบาลพอดี ทำให้เธอมีกำลังใจฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง

       แสงดาวพร่างพรายเป็นประกายระยิบระยับบนท้องฟ้า กำลังจะเลือนหายไปด้วยแสงอรุณของวันใหม่   เสียงสตาร์ทรถมอเตอร์รับจ้างข้างห้องตะโกนให้เธอลุกขึ้นมาปฏิบัติภารกิจ   แน่นอน ๔ นาฬิกา เธอลุกจากที่นอน  มองหน้าลูกทั้งสองนอนหลับตาพริ้มอย่างไร้เดียงสา   เธอเติมพลังจากแก้มซ้ายขวาของลูกทั้งสอง   และลูกชายคนโต   เธอใช้โคมไฟเล็กๆ  อ่านหนังสือในมุมห้องเช่าแคบๆ ของเธอ  พอได้เวลาเธอก็ตระเตรียมจัดแจงหุงหาข้าวปลาอาหาร   อาบน้ำแต่งตัวให้ลูกไปโรงเรียน   จนในที่สุดความขยัน หมั่นเพียร   กล้าคิด   กล้าพูด   กล้าแสดงออก   ผสมผสานกับความเข้มแข็งตั้งมั่นในจิตใจ ทำให้เธอสอบผ่านเกือบทุกวิชา   เธอและครอบครัวพอใจมาก และเธอก็มีบ้านหลังเล็กสมใจปรารถนาในเวลาต่อมา
             ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่บนทางด่วนดาวคะนอง   พ่อนาคก้มกราบเท้าหญิงชราคนหนึ่ง   ในมือถือพวงมาลัย   พร้อมกับรอยยิ้มพิมพ์ใจ    เป็นภาพที่ประทับใจเธอยิ่งนัก เธอกลั้นน้ำตาไม่อยู่  ชี้ให้ลูกๆ   ดูภาพนั้นพร้อมคำบรรยายภาพต่างๆ นานา   และไม่ลืมที่จะบรรยายความปรารถนาที่จะเกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์   เธออบรมบ่มนิสัยลูกน้อยของเธอโดยการเล่านิทานจากชีวิตจริง   เธอบรรยายถึงความลำบากยากจนของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งริมฝั่งแม่น้ำชี    เด็กน้อยผู้ไม่เคยมีรองเท้านักเรียน  ไม่เคยมีชุดนักเรียนใหม่  และแทบจะไม่ได้เงินไปกินขนมที่โรงเรียน    ต้องหาบกล้าดำนาทั้งก่อนไป   และกลับจาก
โรงเรียน   ลูกๆ น้ำตาไหลเพราะสงสารเด็กคนนั้น   " ได้ผล "   เธอพูดกับตัวเอง เธอไม่ลืมที่จะเล่าถึงปู่ย่าตายาย   ที่คอยช่วยเลี้ยงดูและช่วยเหลือทุกสิ่งทุกอย่าง   เธอเล่าจริงบ้างปลอมบ้าง  แต่งเติมบ้างผสมกันไป  ประกอบกับปู่ย่าตายายปฏิบัติเช่นนั้นจริงๆ   และลูกๆ ก็เห็นเธอกระทำกับปู่ย่าตายาย   เห็นแบบอย่างที่ดีโดยตลอด   เพราะเธอคิดว่า
" ตัวอย่างที่ดีมีค่ายิ่งกว่าคำสอน " ทุกสิ่งที่เป็นเธอ  ถูกถ่ายทอดสู่ลูกๆ    การรู้จักคุณค่าของเงินทุกบาท น้ำทุกหยด ข้าวทุกเม็ด   ความประหยัด   มัธยัถส์ รักเคารพ   และกตัญญูกตเวทีต่อบุพการี   สิ่งเหล่านี้ซึมซาบเข้าสู่จิตสำนึกของลูกๆ "กินง่าย  อยู่ง่าย  ไม่เรื่องมาก"  จึงกลายเป็นข้อคิดเตือนใจของครอบครัวเธอ 
               " ในโลกนี้ยังมีคนที่จนยาก      ต้องลำบากสารพัดแสนขัดสน
  อย่ากินทิ้งกินขว้างตามใจตน      สงสารคนอื่นที่ไม่มีกิน "

   ลูก ๆ ยังท่องจำได้ขึ้นใจโรงเรียนสตรีแห่งหนึ่ง   ตั้งอยู่ริมคลองแสนแสบ  เขตมีนบุรี   คือสถานที่ ที่เธอฝึกสอน  ประธานนักศึกษาฝึกสอนคือตำแหน่งที่น้องๆ  จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง และสถาบันอื่นๆ  มอบให้เธอ    เธอได้เรียนรู้ถึงชีวิตของการเป็น  "ครู"  และได้ประสบการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างมากมายจากที่นั่น   ลูกๆเธอโตพอที่จะช่วยเหลือตัวเองได้    เธอทิ้งภาระทุกอย่างในตอนเช้าให้กับสามี    เธอขับรถออกจากบ้านตั้งแต่  ๖ โมงเช้า  ผ่านวัดกิ่งแก้วไปมีนบุรี   เป็นเวลา  ๑  ภาคการศึกษา   การอบรมสัมมนาที่เขาใหญ่  โคราช   มีขึ้นหลังจากฝึกสอนเสร็จ   เธอได้สิ่งใหม่   แนวคิดใหม่ๆ   จากการอบรมสัมมนาเป็นอย่างมาก เธอได้เกรด  G  จากวิชาฝึกสอนอบรมสัมมนา   และวิชาอื่นๆ อีกตั้งหลายวิชา  เพราะความขยันมั่นเพียรของเธอ   สามีเธอเย้าว่า  " เธอได้คะแนนดอกแค "   ( ต้นแคเตี้ย ๆ ที่ออกดอกเร็วก่อนถึงเวลา )เสียงไผ่เสียดกอออดแอดด้วยแรงลมดังมาจากหลังบ้าน   ลมพัดเย็นสบายท้องฟ้าสดใสปรอดโปร่ง   เธอนั่งรอสามีอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้านหลังน้อยของเธอ   เธอนั่งรำลึกถึงอดีตกาลที่ผ่านมาด้วยความอิ่มเอิบใจ   " เราเรียนจนมีสามี มีลูก มีบ้าน มีรถ มีครอบครัว ที่สุดแสนจะอบอุ่น เรามีอย่างที่ฝันไว้จริงๆ ด้วย "  และแล้วก็มีสิ่งหนึ่งมากระทบกับต่อมความต้องการของเธอ   เธออยากเห็นเด็กตัวเล็กๆ คลานไปมาอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ ของเธอ เธอหวนคิดถึงห้องเช่าแคบๆ   เธอยังเลี้ยงลูกเธอสองคนมาได้ด้วยดี   และแล้วเธอก็ไม่
ผิดหวัง  ก่อนจะถึงวันมามากเธอรับรู้ด้วยสัญชาติญาณของคนที่เป็นแม่   และผู้มีประสบการณ์   เกินกำหนดเพียงวันเดียวเธอซื้อแผ่นทดสอบด้วยตนเอง   แน่นอนเธอสมหวัง
  ชุดครุยแถบสีชมพูประดับเรือนร่างอันอวบอั๋นด้วยอายุครรภ์  ๕  เดือนเศษด้วย เธอรับพระราชทานปริญญาบัตรจาก   สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ด้วยความโสมนัสเกินจะบรรยาย   ด้วยเวลา ๔ ปี   ความเจ็บปวดครั้งที่  ๓  ไม่ได้ทำให้เธอท้อแม้ใจเลย หากแต่ทำให้เธอมีแต่รอยยิ้มแห่งความสุข ที่ได้เลี้ยงลูกด้วยน้ำจากอุ่นไอรักของเธอ   เธอได้ใส่ชุดที่เธอคิดว่าสวยที่สุดแล้ว  ช่างเป็นไปได้ เธอเป็นครูพิเศษที่โรงเรียนแห่งหนึ่งย่านสุวรรณภูมิ   เธอได้ทำงานอย่างที่ฝัน   เธอหาคำตอบให้กับตัวเองได้ทุกข้อ เธอทำงานอย่างมีความสุข  อาศัยคุ้นเคยกับ  ๓  ตัวแสบของเธอ มีลูกล่อลูกชน  ผ่อนหนักผ่อนเบา   สร้างจิตวิทยา  และกลเม็ดเด็ดพลายที่หลายหลากในการสอน  เธอเป็นได้ทั้ง นางฟ้าและนางมาร  ( ถ้าจำเป็น )   ความตั้งใจจริงของเธอ  ทำให้เธอยืนเด่นเป็นสง่าในวัน  " เพชรพูลเจริญ "  ด้วยระยะการทำงานเพียง  ๗  เดือน ปลื้มมากไปกว่านั้น   เธอไม่เคยรับรู้เลยว่า  จะมีการให้นักเรียนคัดเลือก  " คุณครูที่สอนประทับใจ "  เธอติดอันดับ 1 ใน 3 ได้รับโล่เกียรติยศ ยิ่งทำให้มีพลังแรงใจเพิ่มมากขึ้น  เธอสัญญากับตัวเองว่า เธอจะทำหน้าที่ของ  " แม่พิมพ์ "  ให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็น แม่พิมพ์ของชาติ   หรือแม่พิมของลูก ๆ เธอ เพราะเธอเชื่อว่า   " ใครกตเวทีกับบุพการีไว้ฉันใด ลูก ๆ ก็จะกตเวทีกับตนเองฉันนั้น "

เธอก้าวผ่านอุปสรรคทุกสิ่งทุกอย่างมาได้นั้น เพราะกุศลผลบุญที่เธอได้จุนเจือ     บุพการี  และการที่เธอได้เดินตามรอยของพ่อ  ความรู้จักประมาณตนจึงทำให้เธอมีวันนี้ได้ เธอคิดและเชื่อเช่นนั้นและเธอก็จะปฏิบัติเช่นนั้นต่อไป
           เธอมีและมาแต่ตัว  มาพร้อมกับความฝัน  ความเต็มร้อย  ความเข้มแข็งในจิตใจ  ผสมผสานกับความรอบรู้  รอบครอบ  และเดินตามรอยพ่ออย่างพ่อเพียง   ค่าของคนอยู่ที่ผลของการกระทำ  ไม่มีพื้นที่ว่างสำหรับคนอ่อนแอ  หรือมีก็แต่เบียดเสียดเยียดยัด หนทางแห่งความสำเร็จหาได้โรยด้วยกลีบกุหลาบไม่    สุดแต่ใครจะกล้าและพร้อมที่จะก้าวผ่านขวากหนามนั้นได้    หากแต่จะไม่ลืมตัวตนว่าเป็นใครมาจากไหน   พ่อแม่คือใคร   และ
เรามีหน้าที่ต้องทำอะไร   เรารักลูกเรามากเพียงใด   พ่อแม่ก็รักเรามากเพียงนั้น  ยังไม่สายนะคะที่จะคิดใหม่   ทำใหม่   ไม่อายที่จะกล่าวคำขอโทษในสิ่งที่ผิดพลาด  เพราะคนที่
ไม่เคยทำอะไรผิดคือคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย   ลุกขึ้นมาเถอะค่ะ   เดินสายกลางอย่างพ่อ พอเพียงอย่างพระองค์ท่าน   โลกนี้ยังสดใสสวยงามอีกมากมายให้ค้นหา   อย่าเพิ่งหมดหวังนะคะ พรุ่งนี้ก็เช้าแล้วและเราต้องต่อสู้กับอุปสรรคต่อไป
    ท้อได้แต่อย่าถอยนะคะ สู้ สู้

    "จะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวทำ จะสูงจะต่ำอยู่ที่ทำตัว"

          พ่อนั้นนำสายกลางมาวางให้
   เพื่อชาวไทยเพียงพอสิ่งพ่อหวัง
   ตามรอยพ่อไม่งอมือคือพลัง
   สิ่งที่หวังอยู่ไม่ไกลไขว่คว้ามา

คำสำคัญ (Tags): #แม่พิม
หมายเลขบันทึก: 115759เขียนเมื่อ 30 กรกฎาคม 2007 23:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 พฤษภาคม 2012 20:15 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

อ่านแล้วทำให้เห็นภาพเลยค่ะ และก็คิดถึงบ้านมากเลย  คนเขียนนี้เป็นตัวอย่างที่ดีสมกับชื่อจริง ๆ เลยนะค่ะ  อยากให้นำเรื่องราวแบบนี้มาลงอีกค่ะ เพราะเป็นการส่งเสริมคุณธรรมที่ดี

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท