เรียน ชาวบล็อกและผู้สนใจทุกท่าน
เมื่อบล็อกที่แล้วได้เชิญชวนให้ร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ "ตัวชี้วัดสังคมแห่งการเรียนรู้ ว่าน่าจะมีอะไรบ้าง" แต่ไม่ค่อยมีคนสนใจ อาจจะเป็นเรื่องใหม่สำหรับสังคมไทยก็เป็นได้ ซึ่งสอดคล้องกับความคิดเห็นของชาวบล็อกท่านหนึ่งที่ได้กรุณาเสนอแนะมาว่า "การสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้น่าจะมีการสร้างค่านิยมหรือวัฒนธรรมใหม่ในการทำงานร่วมกันและปรับกระบวนทัศน์ในการทำงานร่วมกัน" จึงขอเชิญชวนพวกเราชาวบล็อกที่จะเป็นคนกลุ่มแรกๆที่จะมาร่วมกันดำเนินการตามข้อเสนอดังกล่าว
วันนี้ผู้เขียนขอเสนอ "ตัวชี้วัด" ที่บ่งบอกถึงความเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ 7 ข้อ ได้แก่ 1. ความใฝ่รู้ใฝ่เรียนของประชาชนกลุ่มเป้าหมาย 2. การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างชุมชน/ประชาชน 3. องค์ความรู้ใหม่ในชุมชน 4. การพัฒนา/ขยายตัว/ความหลากหลายของแหล่งเรียนรู้ในชุมชน 5.การนำความรู้ไปใช้ในการพัฒนา/แก้ปัญหา 6.อัตราการเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ 7.การเกิดนักนวัตกรรม นักจัดการความรู้/ผู้นำการเปลี่ยนแปลง ...............จึงขอเชิญชวนชาวบล็อกได้ร่วมแสดงข้อคิดเห็นต่อไป ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อทุกหน่วยงานหรือองค์กรเพื่อนำไปใช้ในการประเมินความเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ขององค์กรหรือหน่วยงานของตน
เรียน อ.WAT
1. ถ้าจะเอา Blog : KORSORNOR CHUMPHON มา Link กับ blog ของอาจารย์ ต้องทำอย่างไรคะ ?
2. สำนักฯ ควรเปิดชุมชนนักปฏิบัติการ ฯ..เพื่อชาว กศน.จะได้เปิด Blog มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้งาน กศน. กันบ้าง
อยากเชิญคุณ ครู กศน. ร่วมเสวนาบนเวที เรื่อง
แนวทางการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ในกรุงเทพมหานคร
ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 25499 เวลา 9.00 - 16.30 น.
ที่ห้องประชุมอาคารรัชมังคลาภิเศก กระทรวงศึกษาธิการ
โดยแบ่งเวลาเป็น 3 ช่วง คือ ช่วงแรก เชิญคุณหญิงกษมา
วรวรรณ กับ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นเรื่อง
นโยบายการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ ช่วงที่ 2 เป็นเรื่อง
การประสานงานในการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ในกรุงเทพมหา
นคร โดยผู่อำนวยการสำนักการศึกษา กทม. และผู้อำนวยการ
สำนักบริหารงาน กศน. และช่วงสุดท้าย เป็นเรื่องของการนำ
นโยบายและแนวทางสู่การปฏิบัติจริง โดย ผู้เชี่ยวชาญ กศน.
ผอ.กศน.สมุทรปราการ และ ผอ.กศน.กรุงเทพฯ1
ถ้าคุณ ครู กศน.สามารถอนเคราะห์ร่วมรายการได้
กรุณาติดต่อ ที่ 01 867 0625 หรือ ที่ chiampuk_111@
hotmail.com ก็จักเป็นพระคุณอย่างสูง
การเป็นนักจัดการความรู้ คิดว่าไม่ยาก เปรียบเหมือนไฟล์ ที่กระจัดกระจายอยู่ เอามารวมเป็นโฟลด์เดอร์แล้ว ตั้งชื่อไว้ เข้าใจ ค้นหาง่าย.
ขอบคุณค่ะ
พิจารณาแล้วคำว่าสังคมนั้นใหญ่มาก มีขอบเขตและปริมาณคนมาก ระดับอำเภอ จังหวัด ประเทศ ได้เลย จึงขอเสนอให้ใช้แค่ ชุมชนหรือหมู่บ้าน น่าจะทำให้ เราชาว กศน.เข้าไปทำงานโดยใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญ พัฒนาคนในหมู่บ้านให้เขาร่วมกันสร้างหมู่บ้านแห่งการเรียนรู้ ขึ้นย่อม
เป็นการสร้างที่ เป็นไปได้ง่าย
ทำในขอบเขตที่เล็กไปสู่ใหญ่
เกิดการเรียนรู้กระบวนการสร้างหมู่บ้านการเรียนรู้ขึ้น
ส่วนตัวชี้วัดความเป็นหมู่บ้านแห่งการเรียนรู้ กำลังกลั่น(แกสโซเบรน)จะนำเสนอในคราวต่อไป
ตัวชี้วัด หมู่บ้านแห่งการเรียนรู้ ......
1.ประฃาชนในหมู่บ้านเห็นประโยชน์และความจำเป็นของการเรียนรู้เพื่อความอยู่รอดและความสุข
2.ประชาชนรู้และเข้าใจว่าสามารถเรียนรู้ได้จากแหล่งการเรียนรู้หลากหลาย เช่น วัด เพื่อนบ้าน โรงเรียน กศน.,หน่วยงานต่างๆ ฯลฯ
3.ประชาชนที่สนใจเรื่องเดียวกันมีการรวมตัวกันเรียนรู้เป็นกลุ่ม ช่วยเหลือกัน รับผลประโยชน์ร่วมกัน
4.ผู้นำครอบครัว,หมู่บ้านส่งเสริมให้คนในครอบครัว-หมู่บ้านเรียนรู้เรื่องที่จำเป็นมาใช้ในชีวิตจริงเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาครอบครัว-หมู่บ้าน
5.การดำเนินกิจกรรมสำคัญต่างๆในหมู่บ้านใช้กระบวนการเรียนรู้วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลร่วมกันเพื่อประกอบการตัดสินใจ ดำเนินงานและประเมินผล
วันนี้ขอจบการดัดแปลงเท่านี้ก่อนครับ คราวหน้าจะสร้างตัวชี้วัดใหม่ขึ้นบ้าง
กรุณาอ่านแบบสนุกๆๆนะ ลุงแก่แล้วต้องอ่านแบบ ปรอยฝ่าย มาลัยพร พูดนะรู้จักมัย
ตอบคุณ [email protected] ที่น่ารักนะ
ถึงแสดงความคิดเห็นซ้าไปแต่คงทำความเข้าใจ และชี้แจงให้ท่านได้ทราบถึงสวัตถุประสงค์ของการจักการศึกษานอกระบบ ( กศน. )
ประการที่ 1 การที่เราจะศึกษาจากที่ไหนนั้นของให้ท่านภูมิใจเถอะครับ ว่าเราคือนักศึกษา กศน.
ถ้าเราไม่ภาคภูมิใจแล้วใครเขาจะมาภาคภูมิใจแทนเรา อะไรที่ทำให้สังคมยอมรับ หรือเป้นตัวชี้วัด คือ ตัวผู้เรียนครับ ถ้าผผู้เรียนไม่แสดงความสามารถ ไม่ยกย่องสถาบันที่เรียนก่อน ใครที่ไหนจะเห็นความดีสถาบันเรา ดีเท่ากับตัวเราที่เลื่อมใสศรัทธา มาฝากชีวิต พัฒนาความรู้กับ กศน.
ประการที่ 2 คำโบราณว่าใว้ก็ยังใช้ได้ในบัจจุบัน ว่า จะดีจะชัวอยู่ที่ตัวทำ จะสูงจะตำอยู่ที่ทำตัว คำๆนี้ยังใช้ได้ดีเสมอ เพราะหากผู้เรียนมีความมุ่งมัน ว่าจะเรียน กศน. เพื่อพัฒนาความรู พัฒนาวุฒิทางการศึกษา เพราะเราได้พาดโอกาสทางการศึกษาเสียแล้ว ด้วยเหตุผลที่ต่างกันนั้น เราก็มาให้โอกาสตัวเอง นี้คือความภาคภูมิใจประการที่หนึ่งที่เราต้องมีในตัวตนของเรา
ประการที่ 3 ต้องขอชื่นชมท่านมากเลย ที่มีวิสัยทัศในการจัดการศึกษาในรูปแบบใหม่ ซึ่งตรงตามวัตถุประสงค์ ของ การจัดการศึกษาของ กศน. คือ เรียนรู้ตลอดชีวิต , เรียนรู้ตามอัธยาศัย , หรือที่ครู ชอบบอกว่า กรต. เป็นช่อนทางการเรียนรู้หรือวิธีสอนของ กศน.ที่ดีที่สุด แต่ครูต้องชี้แนะ ช่องทางในการศึกษาเป็นการนำทางไว้บ้างก็จะดี เช่น แหล่งเรียนรู้ ช่องทางการเรียนรู้ นะ เพราะถ้าจัดการศึกษาแต่ในเนื้อหา หลักสูตรละก็ คงเรียนกันไม่จบแน่ เพราะฉนั้น นักศึกษาต้องไปหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตัวเองบ้าง หากไม่เข้าใจให้มาถาม เพื่อน หรือครู ในวันพบกลุ่ม ( หากเป้น น.ศ. แบบพบกลุ่ม ) ไม่ใช่รอให้พ่อนก แม่นก มาป้อนอาหารใส่ปากให้ อย่างนี้ไม่ใช่วิธีการเรียน กศน.แน่แท้ ก็น่าเสียใจที่ท่านเจอปัญหานี้มา แต่รับรองได้ว่าท่านเป็นผู้ใฝ่รู้แน่แท้เลย น่ายกย่องมาก ๆ ขอให้เป็นกระบอกเสียของ กศน.ต่อไปนะ อย่าย่อท้อ เพื่อนำปัญหานั้นมาสู่ทางแก้ไขโดยเร็ว ลุงลืมว่าบอกไปว่า การศึกาของ กศน.นั้น ผู้เรียนต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองให้มากๆๆ นะจะได้ความรู้เยอะแยอะ มากกว่าแค่รอให้อ่านหนังสือแล้วรอให้สอบผ่านอย่างเดียว แล้วก็อย่าไปอายใครเลย คนที่ไม่ได้เรียนเท่านั้นที่จะมาคอยพูดว่าเรียนไปทำไม แก่แล้ว เรียนทำไม กศน. ถ้าว่าไปแล้วอายุขนาดนี้แล้วจะให้ไปนั้งเรียนกับลูกๆๆก็อายเขานะ ครูก็คงไม่รับเราเข้าโรงเรียนด้วยใช่ไม เพราะฉนั้นแล้วเราต้องภาคภูมิใจนะ เรียนแล้วก็พัฒนาตัวเราด้วย รอแต่ครูคงไม่ทันโลก เช่นคอมพิวเตอร์ , การพูด ใช้ภาษาอังกฤษ ครูกศน.มีน้อย แต่เขาตั้งใจจริง น่านับถือนะ ตอบแทน ,เบี้ยเลี้ยงก็ไม่คอยดี มีครูมาสอน นักศึกษาก็ดีแล้ว แต่ครู กศน.เขาคุณภาพคับแก้วนะจะบอกให้ รับประกันได้ ขอบใจนะที่ทุกท่านสนใจอ่าน ขอบใจทุกท่าน