หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นสัปดาห์ที่ฉันต้องใช้พลังกายและใจในการทำงานสูงมาก
เนื่องด้วยปัจจัยหลายอย่าง ตั้งแต่
พยาธิสภาพทางกายที่จะเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลงด้านฮอร์โมนสูง
ซึ่งมักจะทำให้ฉันมีอาการปวดมึนศีรษะ ร้อนๆ
ในกายไม่ค่อยสบายเนื้อตัวและหัวใจ อีกทั้งยังเป็นช่วงที่
รพ.ต้องมีงานใหญ่ คือครบรอบวันเกิดปีที่ 13 (19 กรกฎาคม)
โดยปีนี้จัดทอดผ้าป่าสามัคคี (ครั้งที่ 3) เนื่องจาก
รพ.ของเราได้รับจัดสรรงบประมาณรายหัวประชากรไม่เพียงพอ
อันมีข้อจำกัดที่เป็น รพ.ชายขอบ ประชากรในพื้นที่น้อย
แต่ผู้รับบริการเป็นคนอีก 3 จังหวัดที่ติดต่อ
ซึ่งนโยบายนี้ยังไม่เอื้อกับองค์กรแบบเรา
ฉันรับหน้าที่เป็นผู้ประสานงานและพิธีกรเหมือนเคย
งานเสร็จเวลา 13 นาฬิกา
จิตใจของทุกคนเปี่ยมด้วยปีติแห่งแรงศรัทธาในเมตตาจิต
และกระแสบุญที่ร่มเย็นปกคลุมอยู่ทั่วพื้นที่ อากาศไม่ร้อน
ฝนไม่ตก ทั้งก่อนวันงานและวันงาน รายได้เข้ามามากกว่าความคาดหวัง
และพวกเรายุ่งกับภาระงานจนแทบไม่มีเวลาบอกบุญ
มีผู้ใหญ่บางท่านต่อว่ามาว่า “ทำไมไม่บอก พึ่งรู้ก่อนวันงาน 2 วันเอง”
พวกเราจึงคิดว่าปีนี้เงินคงเข้ามาไม่มาก
ด้วยแรงบุญหรือสิ่งใดก็ตาม
งานบุญนี้ประสบความสำเร็จด้วยดีมากๆ ไม่มีอุปสรรคใดๆ
ฉันทำหน้าที่ของตัวเองทั้งต่อสาธุชน พระภิกษุสงฆ์ ด้วยจิตสงบเย็น
เป็นสุข และออกอาการมาทางวาจาในฐานะพิธีกร
เสียงที่สะท้อนกลับมาบอกให้รู้ว่า จิตใจฉันสงบเย็น
และเป็นสุขจริงๆ
ตกบ่ายหลังเลิกงานด้วยพยาธิสภาพทางกาย ทำให้ฉันอ่อนล้า มึนศีรษะง่าย
ต้องชงไมโลอุ่นๆ ดื่ม ซึ่งก็ดีขึ้นมากๆ
จากนั้นก็เร่งงานเอกสารที่ต้องทำเบิก OT ให้กับน้องๆ
พยาบาลทั้งเดือนให้เสร็จเพราะวันศุกร์ต้องไปประชุมที่จังหวัด 2
งานในวันเดียวกัน
ซึ่งกว่าจะเสร็จก็ต้องใช้เวลากลางคืนมาทำกับน้องเภสัชกร
ซึ่งเป็นกัลยาณมิตรในที่ทำงาน
วันศุกร์
เดินทาง จาก รพ.เข้าไปประชุมที่ จังหวัด (ห่างจาก รพ. 55
กิโลเมตร) 2
การประชุมที่แทบไม่เหลือเวลาให้รับประทานอาหารกลางวัน
ตกบ่ายเป็นการประชุมเตรียมงาน “มหกรรมสร้างสุขภาพระดับจังหวัด”
ซึ่งมีงานให้ฉันทำเพิ่มขึ้น คือ การเป็นพิธีกรของงาน (อีกแล้ว)
นอกจากการประสานงานชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพของอำเภอบ้านแพรกที่พึ่งได้รับโล่รางวัลจากกรมอนามัยมาหมาดๆ
ไปจัด บูธ ร่วมกับพาคนในอำเภอไปร่วมงานอีก 30 คน ในวันที่ 25
ที่จะถึงนี้ ฉันกลับมาบ้านตอนเย็นด้วยความรู้สึกหนักที่บ่า...ด้วยรู้สึกว่าภารกิจตอนนี้มีมาอยู่เรื่อยๆ
โดยตัวเองยังไม่ได้ทันตั้งตัวสักเท่าใด ซึ่งพร้อมๆกับงานใน รพ.ที่
หัวหน้าก็กำลังจะมอบหมายหน้าที่ใหม่...แถมด้วยโครงการแบบฉับพลันทันที
...ที่รับมาให้ทำ...หัวค่ำวันศุกร์ฉันนอนแผ่อยู่บนเตียง
จะหลับไม่หลับหลังอาหารเย็นกว่าจะต้านความขี้เกียจไปอาบน้ำได้ก็เวลา
21.30 น. อาบน้ำเสร็จรู้สึกว่าสดชื่นขึ้น สวดมนต์เสร็จ
ตั้งใจจะนั่งสมาธิครึ่งชั่วโมง
แต่นั่งได้พักเดียวก็วูบ อยู่ 3 ครั้ง
ชั่งใจแล้วว่าไม่ควรฝืนสัญชาตญาณ
จึงเปลี่ยนเป็นนอนสมาธิหลับไปโดยเร็ว
เช้ามืดเวลา 05.10 น.ตื่นนอนด้วยความมึน
ซึม หดหู่ และความไม่รู้ที่มา ลุกไปทำอาหารให้คุณพ่อกับคุณแม่
พร้อมการตามรู้ดูจิตเป็นพักๆ ก็พบว่ายังซึมอยู่
เริ่มรู้สึกถึงความแปลกไป จิตเริ่มแสดงกิเลสที่จะให้ความซึม
หดหู่หายไป
ด้วยการเดินออกมาดูแสงอาทิตย์ที่เป็นริ้วสีทองฉาบทาขอบฟ้าด้านทิศตะวันออก
อีกฟากฝั่งแม่น้ำ
เพราะสิ่งนี้หลายๆครั้งทำให้ฉันมีความสุขโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่คราวนี้
ฉันยืนดูสักพัก ก็ยังเหมือนเดิม ตามดูจิตก็รู้ว่าฉันมีกิเลส ความอยาก
เป็นอกุศลจิต เพราะฉันอยากหายจากอาการจิตเซื่องซึม หดหู่
จึงตัดสินใจที่จะดูจิตไปเรื่อยๆ พร้อมๆกับภาระกิจในการทำอาหาร
หลังจากทำอาหารเสร็จ ฉันออกไปเล่นโยคะ
ที่สวนหย่อมหน้าบ้านเพื่อเปิดรับอากาศและท้องฟ้าที่เปิดโล่ง
เปิดเพลงให้ดังลอดหน้าต่าง
ผสานกับเสียงนกนาๆชนิดที่ร้องและบินผ่านกันไป
ยอดหญ้าเขียวขจีมีน้ำค้างเกาะแพรวพราวด้วยแสงอาทิตย์ที่เริ่มฉายแสงตกกระทบ
ลมเย็นแตะต้องผิวกาย ความสุขสบายเริ่มมาเยือน เพียงท่าที่ 4 –
5 ความหดหู่ ไม่มีเหลือแล้ว (คราวนี้ฉันมิได้ตั้งใจให้ความหดหู่หายไป
แต่ฉันมีสมาธิบ้าง เจริญสติ
สลับกับความเผลอลืมเนื้อลืมตัวไปกับความคิดและธรรมชาติบ้าง...ธรรมชาติเยียวยารักษาใจ
โดยปราศจากกิเลสมาบงการก่อกิจ)
ตามปกติแล้วตอนเช้าอย่างนี้ฉันจะเล่นโยคะในบ้าน
สัมผัสธรรมชาติเวลามองออกไปนอกหน้าต่างกระจก เพราะหญ้ายังเปียก
แต่คราวนี้ฉันปูเสื่อโยคะบนซีเมนต์ข้างสวนหย่อม เป็นครั้งแรก
เลยได้พบกับอุปสรรคที่ไม่เคยพบ คือ มีตัว
“ตะเข็บ” (ไม่รู้ว่าถิ่นอื่นเรียกแบบใด
แต่ที่บ้านฉันเขาเรียกกันอย่างนี้ มันเหมือนกิ้งกือ แต่ตัวเล็ก
ยาวเพียงประมาณ 1 นิ้ว สีดำหรือน้ำตาลเข้ม)
ที่เดินผ่านไปผ่านมาหลายตัว
สัญญาต่างๆในวัยเด็กก่อกวนการภาวนาเวลาโยคะ
ในวัยเด็กฉันเกลียดและกลัว
กิ้งกือและตัวตะเข็บมากที่สุด
เนื่องจากในช่วงหน้าฝนพวกเขาจะเดินกันเต็มไปหมด
รวมทั้งเดินขึ้นผนังบ้าน มีคนข้างบ้านบอกว่า
สัตว์ชนิดนี้เข้าหูเด็กจนเลือดไหล ทำให้ฉันกลัวสุดขีด
ถ้าเจอสัตว์ชนิดนี้ตรงไหนก็จะกำจัดชีวิตพวกเขา
ด้วยความเกลียดกลัวเป็นที่สุด (เขาเป็นสัตว์ที่ฉันเกลียดและกลัวที่สุดในชีวิต
ไม่รู้ว่ามีบาปเวรอะไรผูกพันกันมา)
ซึ่งเมื่อโตขึ้นฉันกลัวบาปที่เคยทำลงไป เวลาทำบุญ หรือนั่งสมาธิ
แผ่เมตตา จะอุทิศส่วนกุศล ให้กับพวกเขา
แม้กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังทำอยู่ บางครั้งก็คิดเข้าข้างตัวเองไปบ้างว่า
เขาอาจตามมาใช้กรรมจากเราก็ได้
ระยะหลังๆ ที่ฉันเจริญสติ สมาธิ และเมตตา
ฉันอยู่ใกล้พวกเขาได้มากขึ้น ความเกลียดกลัวลดลงไปมากๆ
เวลาไปตักน้ำในโอ่งสมัยเก่าที่ตั้งไว้สำหรับรดน้ำต้นไม้ในบางจุดของสวน
โดยมีพวกเขาไต่อยู่ปากโอ่งฉันก็ไม่ได้รู้สึกอะไร..เพราะระยะหลังนั้น
...ฉันเข้าใจลึกซึ้งในความเป็นหนึ่งเดียวของเหล่าสรรพชีวิตและโลกใบนี้
และนาทีนี้ก็เป็นบทพิสูจน์ให้กับฉันมากขึ้น
ฉันนอนบนเสื่อโยคะที่หนาประมาณ ครึ่งเซนติเมตร รอบๆ
มีตัวตะเข็บคอยจะเดินผ่านมาเมื่อถึงเสื่อก็เดินเลาะไป
ท่าเล่นโยคะที่เป็นท่ายืนคงไม่เท่าไหร่ แต่เมื่อถึงท่านอน ความทรงจำ
และจินตนาการที่คนเคยบอกว่าสัตว์ชนิดนี้เข้าหูจนเลือดไหล
มารบกวนเป็นระยะๆ และจู่
ๆก็มีตัวหนึ่งที่เหมือนพยายามจะปีนเสื่อแล้วล้มเลิก...ทำให้ฉันต้องเอาไม้กวาดปัดเขาออกไปเบาๆ
ให้ไปห่างๆ
ด้วยเกรงว่าบางตัวจะทะลึ่งเดินขึ้นเสื่อและบางตัวจะเดินมุดไปใต้เสื่อ
ซึ่งบางท่วงท่าของฉันอาจทำร้ายพวกเขาโดยไม่ตั้งใจ
เมื่อปัดเขาไปและเห็นเขาเบนหัวไปทิศทางอื่นก็เบาใจเล่นต่อได้
จวบจนท่าหนึ่งที่ต้องนอนราบคว่ำลงกับพื้นเอื้อมมือไปจับข้อเท้าด้านหลังไห้เป็นครึ่งวงกลม
และ กรณีที่ต้องยกศีรษะ และขาขึ้นที่ละข้าง ค้างเกร็งไว้
สายตาฉันก็จะเห็นเหล่าตัวตะเข็บหลายตัวที่เดินบนพื้นซีเมนต์
ในแนวระนาบเดียวกันกับตัวฉัน ยิ่งมีแสงสาดส่องจากดวงอาทิตย์ในยามเช้า
ผ่านพวกเขามา
ก็ยิ่งเห็นความชัดเจนของการเคลื่อนไหวขาจำนวนมากที่ผสานสอดคล้องในการเดิน
ดูเหมือนพวกเขาจะตัวใหญ่ขึ้น และ
ฉันก็จะเห็นพวกเขาจำนวนมากขึ้นเมื่อฉันมองในอิริยาบถนอนคว่ำระนาบเดียวกันนี้
บางตัวก็เข้ามาใกล้ชิดขอบเสื่อห่างจากหน้าฉันเพียงไม่ถึงฟุต...ความคิดและความรู้สึกบางอย่างเริ่มปรากฏในใจตนเอง
อาจเป็นจินตภาพ ที่เห็นร่างกายของฉัน
อันไม่หลงเหลือความเป็นร่างกาย สลายกลายธาตุ เป็นซากผุพังกับผืนดิน
เหล่าสัตว์ทั้งหลายรวมทั้งตัวตะเข็บนี้ ก็สามารถเดินชอนไช
ทะลุผ่าน...รู้สึกเพิ่มขึ้นไปอีกว่า ณ เวลานั้น
ฉันและเขา..เราก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ฉันเป็นส่วนหนึ่งของเขา
และเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของฉัน...เพียงแต่เวลานี้
จิตวิญญาณของฉันยังมีสัญญาที่น่ากลัวเกี่ยวกับพวกเขา
และธรรมชาติก็ไม่ยอมให้อัตตาที่เป็นฉันดับสัญญานั้นเองได้
ยิ่งอยากให้ดับ
ก็ยิ่งดับไม่ได้...ก็เท่านั้นเอง
จบโยคะด้วยท่าสุริยะนมัสการ ในเวลา 1 ชั่วโมงเศษ
พร้อมๆกับอาทิตย์ฉายสาดแสงทองส่องทั่วหล้า
ฉันม้วนเก็บเสื่อด้วยความระมัดระวัง
เพื่อไม่ให้เบียดเบียดเบียนเหล่าสัตว์โดยไม่จำเป็น
รับประทานอาหารเช้าเสร็จ ด้วยจิตที่บอกไม่ได้ว่าสุขหรือทุกข์
จนอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเวลา 10 นาฬิกาเศษ กลับมีความง่วงงุน มึนศีรษะ
ทั้งที่ตั้งใจว่าจะสวดมนต์และนั่งสมาธิ...สุดท้ายฉันก็นอนแผ่...หลับไปอีก
1 ชั่วโมงกว่า ตื่นขึ้นมาก็ได้เวลาอาหารกลางวัน
...รับประทานอาหารเสร็จ รับประทานวิตามินบำรุงร่างกาย ล้างจานชาม
ตามรู้กายและใจปัจจุบัน ความมึน ง่วงงุน และซึมหดหู่ก็หายไปแล้ว
ด้วยร่างกายนอนเพียงพอและได้รับอาหารไปเลี้ยงสมอง
ด้วยจิตสงสัยฉันกลับมาทบทวนเรื่องเวทนา (3 อย่าง คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา และ อทุกขมสุขเวทนา) และมีบทสรุป แต่ฉันก็ยังไม่มั่นใจว่าบทสรุปนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ ฉันเห็นอะไรผิดไปรึเปล่า...ฉันอาจเห็นอะไรไม่ตามจริงก็ได้..ฉันยังไม่มีครูบาอาจารย์ที่จะคอยสอบอารมณ์และทำให้ฉันรู้แจ้งเห็นจริงในชีวิตประจำวัน ที่เรียนรู้เอาเอง...โดยใช้ หนังสือและ CD ของอาจารย์ เป็นครูแบบสื่อสารทางเดียว คิดเห็นอย่างไรก็ว่าไปตามที่เห็นเอง
ฉันได้บทสรุปของการตามรู้ดูจิต
ในช่วงนี้ที่แสนจะล้มลุกคลุกคลานว่า พยาธิสภาพทางกายส่วนหนึ่ง
บวกกับความอ่อนล้าทางกายซึ่งสัญชาตญาณต้องการการพักผ่อน
แต่กิเลสต้องการที่จะเหนี่ยวรั้งสุขเวทนา ด้วยอาลัยอาวรณ์
ในปีติสุขที่พึ่งผ่านไปใหม่ๆหมาดๆอยู่หลายเรื่อง
และมีความแรงมากพอที่จะมีกิเลสแฝงคือราคะโดยไม่รู้ตัวในช่วงเวลาแห่งสุขเวทนาและไม่สามารถละได้
มามีผลเมื่อจิตซึม หดหู่ ความขัดใจอันเป็นกิเลสแฝง
หรืออนุสัยคือปฏิฆะ เนื่องจากไม่พบสุขเวทนา (พบจิตซึม หดหู่
อยู่เนืองๆ ) บังเกิดวงจรทุกขเวทนา ซ้ำ แม้จะตามรู้ได้บ้าง
แต่ละไม่ได้ จวบจนไม่ตั้งใจจะละ จึงละได้ด้วยธรรมชาติที่สมดุล ทั้งกาย
ใจ และสิ่งแวดล้อมคือธรรมชาติอันเป็นหนึ่งเดียว
และนี่กระมัง
ที่ทำให้บันทึกนี้ออกมาได้
ตั้งแต่บ่ายวันเสาร์และวันอาทิตย์นี้ที่จิตใจฉัน สว่างใส
เป็นส่วนใหญ่ มิเช่นนั้นแล้ว ความง่วงงุน มึน ซึม หดหู่
จะปิดกั้นจนฉันไม่สามารถบันทึกสรุปความตามนี้ออกมาได้เลย นี่แหละนะ..มหัศจรรย์แห่งชีวิต จิต
และกายนี้ที่ไม่สามารถบังคับได้เลย...ด้วยเป็นเช่นนั้นเอง
...
แต่ที่แน่ๆ ก่อนสุดท้ายจริงๆ ฉันยังมีกิเลส ที่จะอยากดับความกลัวที่ยังเหลืออยู่ต่อตัวตะเข็บอยู่ดี...ถ้าเป็นไปได้ และ ยังอยากช่วยเหลือน้องๆ ในที่ทำงานที่มีปัญหาเดียวกัน บางคนกลัวแมลงสาบมากๆ ชนิดเป็นทุกข์เวทนาทางใจมหันต์...ที่เจ้าตัวก็อยากหาย ฉันก็อยากช่วยแต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ท่านใด มีความความรู้ในด้านนี้ช่วยสงเคราะห์ เป็นทานทางธรรมแก่ผู้บันทึกและเพื่อนร่วมชะตากรรมด้วยนะคะ...จักเป็นพระคุณยิ่งค่ะ
สวัสดีครับ
สวัสดีค่ะคุณแหวว
มาแซงหน้าคุณธรรมาวุธก่อนค่ะ อิ อิ อิ
สวยจัง ! คุณแหววสวยมากเลยค่ะชอบใจจริงๆ งั้นเอาดอกไม้มาฝากดีกว่า เพราะอันเก่าโดนแพนด้าจิ๊กไปแล้ว
อ่านแล้วทำให้คิดว่าการปรุงแต่งเกิดขึ้นเพราะจิตไม่ทันการรับรู้เลยนะคะ และทุกอย่างก็เกิดขึ้นเร็วเหลือเกินถ้าจิตไม่ทันก็ทุกข์หนักหนา มิน่าล่ะคะท่านถึงได้ให้ดับที่รูป ดับที่ผัสสะที่เกิดขึ้น เพราะถ้าดับทันเวทนาก็คงไม่เกิดนะคะ และถ้าดับที่ผัสสะจะเห็นว่าจิตเกิดดับเร็วมากเลยล่ะค่ะ ( ตามคำ " ครู " ค่ะเบิร์ดก็ยังไปไม่ถึงเหมือนกัน แหะ แหะ )
ขอบคุณมากค่ะสำหรับบันทึกดีๆที่ทำให้เบิร์ดคิดต่อมากมาย หายดีแล้วใช่มั้ยคะ ?
เฮ้อ ไม่ทันวัยรุ่นข้างบนอีกแล้วครับ
คุณแหววไม่น่าโชว์รูปเลยครับ ดูจิตไม่ทันเลยครับ แต่ถ้ามีอีกก็เอามาโชว์อีกก็ได้ครับ จะได้เป็นแบบฝึกหัดดูจิตไงครับ อิอิ
ไม่รู้คุณแหววเคยแต่งหนังสือสักเล่มหรือเปล่าครับ เพราะภาษา ท่วงทำนอง ที่คุณแหววใช้ ถือว่าเยี่ยมทีเดียวครับ บรรยายได้เห็นภาพ ผมว่าแต่งนิยายได้สบายๆ
ถ้าเป็นนิยายอิงธรรมะนี่ ขอสนับสนุนเต็มที่เลยครับ
ถ้าผมเป็นคนกลัวเจ้าตะเข็บเหมือนคุณแหววก็คงทำเหมือนคุณแหววแหละครับ คือ แผ่เมตตา และคิดเสียว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ผมว่าทุกชีวิตที่เราได้เจอกันในชาตินี้นั้นก็คงมีอะไรร่วมกันมาก่อนสักอย่างครับ
ขอบคุณที่ให้อ่านบันทึกดีๆ ครับ
อ้อ คุณแหววสนใจพิธีกรคู่ไหมครับ? ลองชวน อ.ขจิตซิครับ เห็นชอบไปเสนอตัวเป็นสันทนากรเป็นประจำ เจ้านี้น่าจะมีมุกให้ฮาได้ตลอดครับ (อยากสมัครเองครับ แต่กลัวงานล่ม อีกทั้งเขาจะนินทาว่า ดอกฟ้ากับหมาวัด อิอิ)
ธรรมะสวัสดีครับ
สวัสดีค่ะคุณแหวว
ตามน้องเทพมาติดๆค่ะ ได้อ่านบันทึกคุณแหววเมื่อตอนเย็น.. ชอบมาก เลยเข้ามาอ่านบันทึกคุณแหววอีกทีอย่างตั้งใจก่อนออกจากระบบค่ะ ....ดิฉันมีประวัติที่น่าหวาดหวั่นกับคุณร้อยขาตัวโตมหึมาที่เกาะอยู่บนผ้าเช็ดตัว แบบว่าจิตกระเจิงในห้องน้ำมาแล้วเมื่อสมัยยังเล็ก ตอนนั้นยังไม่รู้ธรรมะใดๆทั้งสิ้น รู้แต่ว่าต้องเปิดแน่บสี่ประตูต่อศูนย์อย่างเดียว.... และบอกตรงๆว่ายังคงกลัวกระจัดกระจายมาจนบัดนี้ : )
พอมาอ่านบันทึกคุณแหวว เลยรู้สึกว่าขณะที่เรากลัวเขาแทบตายนั้น เขาอาจไม่ได้คิดร้ายอะไรกับเราเลย เพียงแต่เขามาอยู่ผิดที่ผิดทางไปหน่อย หน้าที่เราคือเชิญเขาออกไปโดยละม่อม
ดิฉันชอบจังค่ะที่คุณแหววสามารถเล่าเรื่องนี้ด้วยการลำดับจิตให้ฟังอย่างแจ่มแจ้ง ด้วยภาษานุ่มนวลแต่เร้าใจ และทำให้คนอ่านเห็นธรรมไปตามลำดับที่คุณแหววเล่า ....อย่างไรก็ตาม ดิฉันก็ไม่สามารถเผชิญหน้ากับท่านเหล่านั้นได้ คือเห็นแล้วใจสั่นหวั่นไหวพิลึก รู้สึกไม่ใคร่มั่นใจในสวัสดิภาพ....
.... ขอเป็นต่างตัวต่างอยู่ดีกว่าอะค่ะ..... : )
ปล. รูปเมื่อตอนเย็นสวยหวานมากเลยค่ะ ทำไมกลายเป็นกล้วยไม้ไปแล้วล่ะคะ (แต่ก็ยังสวยอยู่ดี)
สวัสดีค่ะคุณน้อง -อาจารย์ ขจิต ฝอยทอง
- จะบอกว่า พี่แหววเป็นคนที่ถ่ายรูปขึ้นค่ะ ที่สำคัญอยากบอกว่าที่เอารูปมาลงเพราะว่า เป็นรูปในวันงานทอดผ้าป่า ที่ให้น้องพยาบาลรีบถ่ายให้ในตอนเช้าค่ะ เพราะหลังจากนั้นพี่แหววเป็นตากล้องในงานด้วย และก็มีเพื่อนเก่ามาอ่านบันทึกแล้วบอกว่า ..ไม่มีรูปเลย คิดว่าจะมีรูปให้ดูบ้าง ก็เลยคิดว่าต่อไปนี้ถ้ามีรูปที่ตัวเองอันเกี่ยวข้องกับบันทึก จะใส่ไว้บ้างเวลาทบทวนตัวเองจะได้เห็นภาพได้ชัดขึ้นค่ะ...
- ขอบคุณนะคะ..ที่มาเยี่ยมและทักทายเป็นคนแรกเลย (น่าอิจฉาจัง ที่รักสัตว์น้อยๆ เหล่านั้นได้ พี่แหววเหลือเรื่องเดียวคือความกลัว ถ้ารู้วิธีทำให้หายได้เมื่อไหร่..บอกพี่ด้วยนะคะ....)
สวัสดีตอนเย็นๆค่ะคุณ แผ่นดิน
สวัสดีค่ะ..คุณ เบิร์ด
โอ้โฮ!! พอกดบันทึกปุ๊บ ภาพแจกันทิวลิปก็มาปั๊บเลยค่ะ...เห็นแล้ว...ดีใจจัง สวยหวานเย็นใจจริงๆค่ะ..คุณเบิร์ด
สวัสดีค่ะคุณ ธรรมาวุธ
สวัสดีค่ะ...และก็ยินดีต้อนรับนะคะคุณ.. ดอกไม้ทะเล
คุณแหววครับที่ว่าเห็นในกระจกน่ะเป็นคนนี้เปล่าครับ
5555
หยอกพี่แอมป์เล่นน่ะครับ ประเดี๋ยวท่านคงมา
อ้อ ได้ข่าวคุณเบิร์ดก็ป่วยด้วยครับ เอาดอกไม้ไปฝากสักช่อใหญ่ซีครับคุณแหวว
สวัสดีครับ
สวัสดีอีกทีค่ะคุณแหวว
ดีใจจัง .....เจอคนชอบทะเลอีกคนแล้ว.....
ดิฉันเลือกนามแฝงนี้เพราะชอบภาพใต้ท้องทะเลลึกสมัยเล็กๆ โดยที่ตอนนั้นดิฉันไม่รู้จริงๆว่าตัวอะไรเป็นตัวอะไร
รู้แต่ว่าตัวอะไรๆก็ไม่รู้ สีสันสดใส ที่โบกปลิวอยู่ในทะเลนั้น... ดูพลิ้วไหวนุ่มนวลดีชะมัด
ดิฉันเลยเลือกชื่อดอกไม้ทะเล โดยที่ไม่รู้จริงๆว่าเป็นสัตว์ทะเลที่มีหนวดยุ่บยั่บ
แต่ไหนๆก็ไหนๆ..... ดิฉันก็เลยใช้ชื่อนี้มาโดยตลอด และปลอบใจตัวเองว่าถึงจะสวยยุ่บยั่บไปหน่อยก็คงไม่กระไรนัก อยู่ลึกออกอย่างนั้นคงไม่มีใครเห็น
แต่ดูซิคะคุณแหวว.... ยังอุตส่าห์มีเด็กซนมาล้อคนแก่ เอ๊ยมาล้อ กุลสะกี อย่างดิฉันได้
เอ่อ......ฝนตกปรอยๆอย่างนี้ เห็นทีจะยุงเยอะ
แบบว่า.....รบกวนขอยืมไม้ตียุงอันยาวๆ ที่อยู่ข้างกระจกคุณแหววหน่อยเถิดค่ะ ...
อ้าว.. !... คุณน้องเต้บจะรีบกระวีกระวาดไปไหนเล่าจ๊ะ ขยับมาใกล้ๆหน่อยซิจ๊ะ อิอิ : )
ขจิต ฝอยทอง
รอไหวหรือครับพี่ขจิต?
คุณแหววครับผมมีอะไรจะฟ้อง ลองสังเกตข้อความนี้ดีๆ นะครับ ว่าหมายความว่าไง?
แต่ใจจริงอยากเป็นพิธีคูู่่กับพี่จริงๆๆนะ
ฮะแฮ่ม คุณแหววตีความเหมือนผมหรือเปล่าครับ? 555
สวัสดีครับ
“ตะเข็บ” น่ารักดี ออกน้า แม่. . .
อิ อิ
[^_^ ] "
อะไรกันคะเนี่ย...ขออภัยอย่างสูงนะคะ..บรรดาแขกที่รัก..เคารพ..และคิดถึง ...เจ้าของบ้านมัวแต่ไปสัญจร ประชุมบ้าง อบรมบ้าง...จัดงานบ้าง จนเพลียกลับมาตอนเย็นก็ต้อนนอน... จนไม่ได้มาต้อนรับขับสู้ผู้ไปมาหาสู่...ขออภัยจริงๆค่ะ...ถ้างั้นขอจับเข่าคุยทีละคนเลยนะคะ
คุณธรรมาวุธ ดูซิ ไปล้อคุณ แอมป์ ทำตัวเป็นเหยื่อล่อกิเลสเธอ ระวังบาปนะคะ
คุณ ดอกไม้ทะเล ชอบในความพริ้วไหวของดอกไม้ทะเล...นี่ก็เป็นส่วนเหมือนค่ะ..แหววชอบอะไรที่มันพริ้วไหว..ได้อารมณ์จินตนาการมากๆ เช่น ขนนก ใบไม้ไหวเอน บางครั้งหัวปากกายังต้องให้มันมีขนฟูๆ เวลาเขียนแล้วมีการพริ้วไหวไปมา จะรู้สึกว่าอารมณ์บรรเจิดมาก...คิดอะไรก็ออก.. อ้อ!! คุยมาตั้งนาน ลืมหยิบไม้ตียุงให้เลยค่ะ..คุณแอมป์ ...เด็กซนนั้นหนีไปบ้านอื่นแล้วหล่ะ...
สวัสดีค่ะคุณน้อง ขจิต ฝอยทอง
โอ้โฮ....ยัยหนู อิน มาเยี่ยมบ้าน..[^_^ ]
ว่าด้วยเรื่อง "กลัว ๆ " นั้น ผมเองก็หาทางออกไม่เจอเหมือนกัน สงสัยคงต้องกลัวไปจนชีวิตแตกดับโน่นเลยครับ..
นับวันผมยิ่งเห็นนานาทัศนะของหลายท่านที่เชื่อและศรัทธาว่าชีวิตของคนเราพึ่งพิงและร้อยรัดอยู่กับธรรมะ และธรรมชาติอย่างสนิทแน่น เพียงแต่ว่า ใครจะสัมผัสซึ้งได้เร็วกว่ากัน , ซึ่งสำคัญคือ ความตั้งใจ สม่ำเสมอที่จะให้จิตได้เรียนรู้กับสิ่งเหล่านั้น
....
สวัสดีค่ะ คุณพี่ sasinanda
สวัสดีอีกครั้งค่ะคุณ แผ่นดิน
ขอแสดงความเห็นเรื่องเด็กนิดนึงครับ
หลานผมคนหนึ่งอายุสักประมาณสามสี่ขวบ เป็นเด็กแข็งแรง ร่าเริง พูดเก่ง
น้าสาวผมฝากให้คุณปู่คุณย่าเลี้ยงที่ต่างจังหวัด เพราะท่านอยากเลี้ยงหลาน ท่านก็เป็นคนมีความรู้และเลี้ยงหลานอย่างดีครับ อยู่มาคืนหนึ่งเธอเป็นไข้ตัวร้อน คุณปู่คุณย่าก็รู้ได้แต่ดูแลเบื้องต้น เพราะเห็นอาการไม่หนักนัก อีกทั้งเป็นตอนกลางคืน คิดว่าพรุ่งนี้ค่อยพาไปหาหมอ
แต่ไม่ทันกาลครับ แป๊บเดียวเธอก็ไข้ขึ้นสูง และจากไปในเวลานั้นครับ เร็วจนตั้งตัวกันไม่ทัน
เรื่องของเด็กนี่น่าเป็นห่วง และต้องเอาใจใส่อย่างมากครับ ขนาดญาติๆ เลี้ยงกันเองยังเอาไม่ทัน ไม่พักพูดถึงคนที่จ้างพี่เลี้ยงนะครับ
จริงๆ ก็อยากเอาประสบการณ์ลูกเองมาเล่าครับ แต่ผมมันพวกเดียวกับ อ.ขจิต ขายไม่ออกครับ อิอิ
ว่างๆ เอารูปลูกมาแบ่่่งปันกันชมบ้างครับ
สวัสดีครับ
สวัสดีตอนเย็นๆค่ะ..ธรรมาวุธ
ม่ามี๊จัง . . ..
เข้ามาโพสแว้วน้า
เด๋ว จาส่งรูปตอนปัจจุบันไปหั้ยเน้อ
ขาว กว่านี้ตั้งเยอะ
55+
* Ps มือถือหาย เซงจิต
เหอะ ๆ ๆ
มาอีกรอบ
ลืมบอก .. . .
อิน
อยากกลับบ้านนนนนนนนนนนน
เบื่อมากมาย
[-_- ] *
เซง
คิดถึงบ้าน
2 เดือนกว่าแล้วเน้อ ! ! ! !
[ T_T ] *
ลูกสาวสวยไม่แพ้คุณแม่เลยนะครับ แต่สวยคนละแบบ ลูกสาวแบบคนสมัยใหม่ คนแม่แบบไทยๆ
ขอให้มีความสุขทั้งแม่และลูกครับ
สวัสดีครับ