มองไกลกว่าหนึ่งก้าวย่าง


สวัสดีครับทุกท่าน

      สบายดีกันทุกคนนะครับ ในชีวิตหนึ่งของเราตั้งแต่จำความได้ คงเคยเหยียบหนาม เหยียบเศษแก้ว เหยียบก้อนหิน หรือสะดุดกันมาบ้าง ไม่มากก็น้อยใช่ไหมครับ หากเราเดินช้า แล้วมองตำแหน่งที่จะก้าวย่างๆแต่ละครั้ง ก็อาจจะไม่เจอปัญหา หรือเจอปัญหาน้อยลง

      แต่หากเราต้องก้าวย่างที่เร็วขึ้น เราต้องปรับตัวอย่างไรบ้าง สายตาเราจะมองดูตำแหน่งที่จะก้าวย่างได้ทันไหม แล้วหากเราต้องวิ่งเร็วขึ้นหล่ะครับ เราจะจัดการอย่างไรให้ก้าวย่างอย่างปลอดภัย

      สำหรับวันนี้ จะชวนคิด ให้มองไกลกว่าหนึ่งก้าวย่าง กันในตัวอย่างต่างๆ เช่น

  • การปลูกข้าว ทำนา ซื้อปุ๋ยเคมีมาใส่ในทุ่งนา ใส่แล้วข้าวเจริญดี น่าสนใจดี แล้วก็เก็บเกี่ยวไปก็จบไป ก้าวย่างที่ไกลออกไปที่ลืมมองไป เช่น เกิดปัญหาน้ำเสีย ดินมีปัญหา ปลาเปื่อย และระบบนิเวศน์ทุ่งนาเปลี่ยนไป.....

  • การปลูกต้นไม้เพื่อขายลำต้น เนื้อไม้.... ปลูกแล้วไม้โตเร็ว ขายไปก็ได้เงิน ได้เงินก็ปลูกกันใหม่ ปลูกรุ่นสู่รุ่น ดูผิวเผินแล้วเหมือนไม่มีอะไรเลยใช่ไหมครับ แต่มองก้าวย่างที่ไกลออกไป คือ ดินมีผลไหม ระบบแวดล้อมมีผลหรือไม่ในการโค่นแต่ละครั้ง นิเวศน์เพี้ยนไปหรือไม่

  • การทำการค้า เช่น ขายขนมจีน แล้วกันนะครับ ขายแล้วได้เงิน อยากได้เงินมากขึ้น ขึ้นราคา และคุณค่าเท่าเดิม อยู่ไม่นานคนมากินก็ลดน้อยถอยห่าง ก้าวย่างที่ไกลออกไปลืมคิดว่าจะทำอย่างไรให้ขายได้ยั่งยืน เกื้อกูลกันได้ สมน้ำสมเนื้อ สมราคา สมคุณค่าที่ผู้บริโภคได้รับ

  • การตั้งบ่อนชุมชน เจ้าของบ่อนหรือเจ้าของพื้นที่ อาจจะคิดว่าได้เงิน ได้ค่าผ่านประตู ได้เงินค่าขายของ ค่าเช่าอื่นๆ คิดกันแค่ก้าวย่างเดียว ก็รวยเละเลยครับ แต่ลืมก้าวย่างต่อไป เช่น การทิ้งรอยคราบอบายมุขให้กับชุมชน การฝังหัวเรื่องการพนันให้ชุมชน การนำไปสู่การทะเลาะวิวาทในชุมชน และอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย

  • การศึกษาที่ไปติวเอาง่ายๆ แล้วสอบผ่านไม่ผ่าน กันก็เช่นเดียวกันครับ สอบผ่านแล้วก็ผ่านไป ถือว่าได้ผ่านไปอีกทอดแล้ว ส่วนที่เรียนมาจะนำไปใช้ได้แค่ไหน ก็ไม่รู้ เอาไปประยุกต์ใช้ได้อย่างไรในก้าวย่างต่อไป

  • และอื่นๆ  อีกมากมาย แม้แต่การให้น้ำเกลือเราตอนไปโรงพยาบาล ก็เป็นแค่การก้าวเดินแบบย่างก้าวเดียว เพราะการให้อาหารกับร่างกายเราต้องให้แบบย่อยในระบบย่อย คุณคิดหรือครับ ว่าผัดผักบุ้งที่คุณกินมื้อเช้าจะทำให้ตาหวานทันทีตอนนั้นไหมครับ ผลไม้ที่คุณกินเมื่อกี้จะส่งผลกับคุณในระยะยาวไหมครับ หรือว่าให้ผลตอนนั้น

  • อื่นๆ เชิญคุณบรรเลง

ขอบคุณมากครับ

เม้ง สมพร

หมายเลขบันทึก: 111485เขียนเมื่อ 14 กรกฎาคม 2007 13:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 19:27 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)
สวัสดีครับ
P
คนหนุ่มไฟแรง อยู่ห่างเมืองไทย แต่ก็ยังห่วงเมืองไทยอยู่ตลอดเวลา  ความคิดนี้ คงจะเสถียรต่อไป  ให้กำลังใจครับ
P

สวัสดีครับพี่เหลียง

ขอบคุณมากครับ หวังว่าจะไม่กลายพันธุ์เสียก่อนนะครับ ขอบคุณมากครับผม ร่วมด้วยช่วยกันครับ

สวัสดีครับคุณเม้ง

     ก็ขอให้เดินอย่างมีสติ (อย่าวิ่ง) ก็จะปลอดภัยทุกก้าวย่าง

     อาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านไปเดินในป่ากับคณะหลายคน หลายคนเดินแล้วลื่นล้ม แต่ท่านไม่ลื่น ไม่ล้ม ท่านบอกว่า ขอให้มีสติในแต่ละก้าวย่าง ก็จะเดินไม่ล้มครับ  

P

สวัสดีครับท่านอาจารย์

ขอบพระคุณมากครับ สำหรับคำแนะนำดีๆ นะครับ สตินี่สำคัญมากนะครับ ว่าไปแล้วพลาดสติทีไรลื่นทันที ลื่นแบบไม่ล้ม ลื่นแบบม้วนทูน ลื่นแบบตีลังกา ลื่นแบบหัวทิ่ม ทุกอย่างก็เป็นไปได้ใช่ไหมครับ เมื่อลื่นแล้ว

หากลื่นแล้วไม่มีโอกาสลุกนี่ซิครับ ก็น่าเสียดายครับ ที่โอกาสการล้มครั้งนั้น ไม่มีอีกต่อไปครับ

กราบขอบพระคุณมากครับ สำหรับข้อคิดที่ดีครับผม

สวัสดีค่ะ...คุณเม้ง

เมื่อไม่นานมานี้พอดีได้ไปร่วมแลกเปลี่ยนโครงการของKM ที่จัดที่อุดร..เค้าเชิญผอ.มูลนิธิขวัญข้าวมาพูดถึงการใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านทางการเกษตรโดยการไม่ใช้ยาฆ่าแมลง..ซึ่งทำให้เกิดผลเสียมากมาย..ทำลายระบบนิเวศตามธรรมชาติแล้วยังสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย..แล้วทำลายสุขภาพ(ทั้งกายทั้งจิต)ของคนทำนาอีกด้วย..พอใช้วิธีชาวบานแล้วทุ่นค่าใช้จ่ายไปตั้งครึ่งแถมยังไม่ต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิต..สิ่งมีชีวิตในท้องนาก็ไม่ตาย..สุขกันถ้วนหน้า..แล้วตอนจะจบการบรรยายประกอบการนำเสนอภาพ..เค้าก็ขึ้นคำกลอนแม่โพสพให้อ่าน..ตัวเองก็sensitive มากซาบซึ้งนำตาจะไหล..ทุกสิ่งในโลกล้วนมีความสัมพันธ์และเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน..หากเราทำนาโดยใช้รูปแบบนี้ก็คงจะดีไม่น้อยเลยนะคะ..

ขอบคุณค่ะ...ที่เสนอแง่คิดดีๆให้อ่านเป็นประจำ..

P

สวัสดีครับคุณครู

สบายดีไหมครับ ขอบคุณมากๆ เลยครับ ที่มาบอกเล่าเรื่องดีๆ แบบนี้ครับ เราจำเป็นต้องช่วยกันบอกต่อๆ กันไปให้ถึงการนำไปใช้จริงครับ

จริงๆ แล้วสิ่งที่คุณครูเล่ามาเป็นสิ่งที่จริงทั้งหมดครับ เพราะในนาข้าวนั้นมีระบบนิเวศน์ของเค้า มีแมลงดีและร้ายต่อข้าวอยู่แล้วครับ เค้ามีการล่ากันตามระบบล่าเหยื่อของผู้ล่าและเหยื่ออยู่ครับ เค้าจะควบคุมของเค้าเองครับ

วัชพืชน้อย เพราะเอายาฆ่าหญ้าลงไปครับ แมลงที่จะกินหญ้าที่เราฉีดลงไปให้ตาย ด้วยความคิดว่า จะแย่งอาหารต้นข้าวแต่เป็นการทำลายแหล่งอาหารของแมลงเหล่านั้น แมลงเหล่านั้นก็ต้องหันมาดูสิ่งที่เหลืออยู่คือต้นข้าว เค้าก็หันมากินข้าว ทำลายข้าวกันต่อครับ คราวนี้เราก็ไปซื้อยาฆ่าแมลงกันต่อครับ ทำให้เราชาวนาต้องหลงอยู่ในวนเวียนนี้ นักวิชาการก็หาทางวิจัยตามหลักของวิทยาศาสตร์ที่ทำหลาย ผลิตยาฆ่าแมลงมากมายครับ เหมือนที่คนเราเราเองตอนนี้ก็กำลังนิยม สารบำรุงตามตัว ผิวหน้า ข้อศอก เข่า ตาตุ่ม และที่อื่นๆ ด้วยไงครับ ก็ทำนองเดียวกันครับ อิๆๆ

แต่ในที่สุด ก็ต้องหันเข้าหาระบบนิเวศน์ การผสมผสานครับ วันหนึ่งระบบสารเคมีจะมาอีกครับ วนเวียนนะครับ อยู่ที่ว่าเราจะถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ให้คนรับรู้ได้อย่างไรครับ

ขอบคุณมากๆ นะครับ

  • ขอบพระคุณมากครับ สำหรับแง่คิดที่ช่วยเตือนสติ
  • ปัจจุบันคนคิดกันไม่ค่อยไกล  ปัญหาจึงมีมากมายอยู่ทุกวันนี้นะครับ
P

สวัสดีครับพี่ยุทธ

สบายดีไหมครับ ขอบคุณมากครับ เป็นอย่างไรบ้างครับ

ผมเองก็ประสบการณ์ยังน้อยครับ ก็ต้องทดสอบทดลองกันไปครับ มองให้ไกลกว่าก้าวที่ที่กำลังจะย่างเพื่อให้ก้าวย่างถัดๆไปก้าวลงไปได้ปลอดภัย

ขอบคุณมากครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท