ป้าเจี๊ยบ
น้อง พี่ อา ป้า ครู อาจารย์ คุณ นางสาว ดร. รศ. ฯลฯ รสสุคนธ์ โรส มกรมณี

ลุ้นระทึกในชีวิต...เหตุเกิดที่จีน


บทเรียนสำหรับนักเดินทาง..เรื่องที่ 2

ลุ้นระทึกที่ป้าเจี๊ยบจัดให้เป็นลำดับที่สองคือ เหตุการณ์ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีนค่ะ 

ในปี 2545 ป้าเจี๊ยบได้รับเชิญจากยูเนสโกให้เป็นผู้แทนประเทศไทยในการประชุมสัมมนาเรื่อง Guidelines on Teacher Training in ICT and Teacher Standards for Competency in ICT ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงปักกิ่ง         

จากกำหนดการที่ผู้จัดส่งมา ป้าเจี๊ยบพบว่ามีชื่อผู้แทนต่างชาติที่เดินทางจากกรุงเทพฯ พร้อมป้าเจี๊ยบอีก 2 คน  หน้าตาเป็นอย่างไร เป็นหญิงหรือชายก็ไม่ทราบค่ะ  เพราะไม่มีข้อมูลบอกไว้  แต่ชื่อไม่ใช่คนไทยแน่ๆ และป้าเจี๊ยบเองก็ปากหนัก ไม่ถามข้อมูลให้ชัดเจน เนื่องจากเห็นว่าไม่ใช่สาระสำคัญ         

ทางผู้จัดให้พนักงานนำตั๋วเครื่องบินมาให้ค่ะ  พอวันเดินทาง ป้าเจี๊ยบก็นำตั๋วไปออกที่นั่ง  ได้บัตรขึ้นเครื่องแล้วก็นั่งรอพร้อมกับสังเกตบรรดาผู้โดยสารเพื่อคาดเดาว่าเพื่อนร่วมประชุมอีก 2 คนจะเป็นใคร  แต่ก็ไม่สามารถบอกได้               

หลังจากผ่านการตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อย  ก็เดินออกมา  สอดส่ายสายตามองหาคนมารับที่ถือป้ายยูเนสโกก็ไม่เห็นมี  จึงลากกระเป๋ามารอบริเวณที่จัดไว้ให้นั่ง           

นั่งรออยู่เกือบครึ่งชั่วโมงก็ไม่เห็นมีใครมารับ  นาฬิกาบอกเวลาท้องถิ่นว่าสี่ทุ่มแล้ว ผู้โดยสารที่มาเที่ยวเดียวกันก็ออกไปหมด  เหลือเพียงสุภาพบุรุษชาวอินเดียที่นุ่งกางเกงยีนส์สวมเสื้อสูทสีน้ำเงินเข้ม  แกเดินไปเดินมาอยู่พักหนึ่งแล้วก็หายไป 

ป้าเจี๊ยบเห็นว่ารอนานมากแล้ว  จึงตั้งใจจะไปเรียกแอร์พอตแท็กซี่ให้ไปส่งที่โรงแรมซึ่งมีชื่อบอกไว้ในกำหนดการ         

ทันใดนั้น..ก็มีชายหนุ่มแต่งสูทสีน้ำตาลหรู ในมือมีโทรศัพท์มือถือ เดินตรงมาหาป้าเจี๊ยบแล้วถามด้วยภาษาอังกฤษชัดเจนว่าต้องการรถแท็กซี่มั๊ย  ป้าเจี๊ยบบอกว่าต้องการไปโรงแรมแฟรนชิป  ชายหนุ่มยกโทรศัพท์ขึ้นพูดภาษาจีนสั้นๆ แล้วหันมาฉวยกระเป๋าของป้าเจี๊ยบ ถือเดินออกไปอย่างรวดเร็ว           

ป้าเจี๊ยบรีบเดินตามกระเป๋าของตัวเอง  ซึ่งถูกพาลงบันไดไปชั้นล่างสุดของอาคาร  พอเดินออกประตูไปก็มีรถเก๋งสีดำ กระจกติดฟิล์มมืดมองไม่เห็นข้างใน  วิ่งอย่างรวดเร็วเข้ามาจอด  ชายหนุ่มเปิดประตูหลัง ยกกระเป๋าของป้าเจี๊ยบใส่เข้าไป แล้วบอกให้ขึ้นรถ         

ชักไม่แน่ใจ เพราะรถไม่มีเครื่องหมายใดๆ กระเป๋าก็เข้าไปในรถแล้ว จึงรีๆรอๆ ชายหนุ่มบอกว่ารถนี่แหละที่จะพาไปส่งโรงแรม  ป้าเจี๊ยบหันไปหันมา ไม่เห็นมีใครแม้แต่คนเดียวในบริเวณนั้น  ไม่บังคับก็เหมือนบังคับให้ต้องเข้าไปนั่งในรถ         

พอชายหนุ่มปิดประตูปัง รถก็วิ่งออกทันที เบาะหน้ามีชาย 2 คนนั่งมาด้วยกัน เอ๊ะ..ชักจะยังไงแล้วเรา  แท๊กซี่ผีร้อยเปอร์เซนต์!         
ก็ลุ้นระทึกสิคะ..  นี่เราจะถูกปล้น? ฆ่า? ทำร้าย? ที่เมืองจีนหรือนี่?  มันจะพาเราไปไหนก็ไม่รู้ 

แถมฝนก็ตก  มองแทบไม่เห็นทาง  ถึงเห็นก็บอกไม่ได้อยู่ดีเพราะไม่เคยมา บ้าจริงเรา คิดยังไงถึงได้ตัดสินใจอย่างนี้  นั่งรออยู่สนามบินดีๆ ก็ไม่ได้  คนรับมาช้าก็ยังปลอดภัยกว่า  คิดไปใจก็เต้นตึกๆๆ จนได้ยินเสียงหัวใจของตัวเอง 

รวบรวมสติ แล้วทำใจดีสู้เสือ  ส่งภาษาอังกฤษออกไปทักทายและชวนคุยสร้างบรรยากาศ    ชายที่นั่งข้างคนขับพูดภาษาอังกฤษได้  ส่วนคนขับพูดไม่ได้           

คำถามชวนคุยของป้าเจี๊ยบ ก็เช่น  ฝนตกอย่างนี้ทุกวันหรือ” “ใช้เวลานานเท่าไหร่จึงจะถึงโรงแรม” “นี่รถของตัวเองใช่มั๊ย” “ท่าทางยังเด็กอยู่เลย ขยันทำมาหากินนะ” “พูดภาษาอังกฤษได้ดีนี่ เรียนมาจากไหน ฯลฯ แบบว่าคุยไปชมไป งัดหลักจิตวิทยามาใช้จนผ่านไปครึ่งชั่วโมงก็เริ่มมองเห็นแสงไฟของตัวเมือง  ใจก็ยังไม่เลิกระทึก  เพราะเข้าเมืองก็มีอันตรายไปอีกแบบ         

นั่งลุ้นระทึกต่ออีกประมาณยี่สิบนาที  ก็มองเห็นป้ายชื่อโรงแรม  ใจชื้นขึ้นมาทันทีค่ะ  พอรถจอดเรียบร้อย  จ่ายค่าโดยสารไป 150 หยวนโดยไม่เกี่ยงงอนว่าชายหนุ่มคนแรกบอกว่า 100 หยวน  ก้าวออกมายืนนอกรถอย่างโล่งใจ          

พอเดินเข้าไปในโรงแรมก็ต้องเจอเรื่องระทึกใจอีกรอบ.... พนักงานต้อนรับบอกว่ามาผิดโรงแรมค่ะ  ไม่ใช่ที่นี่  ต้องไปอีกแห่งซึ่งอยู่ห่างออกไปหน่อย โอ๊ย..อะไรกันนี่ #@!&*? 

พนักงานต้อนรับคงเห็นหน้าป้าเจี๊ยบห่อเหี่ยวเต็มเนี่ยว จึงบอกว่ารออยู่ที่นี่ก่อน  เดี๋ยวจะเรียกรถของโรงแรมไปส่งให้  เฮ้อ..ค่อยยังชั่ว         

อีกไม่ถึงสิบห้านาที ป้าเจี๊ยบก็มายืนหน้าโรงแรมชื่อเดียวกัน แต่เป็นระดับ 5 ดาวที่จัดไว้บริการชาวต่างชาติโดยเฉพาะ  พอเดินเข้าไปที่เคาเตอร์ต้อนรับก็พบว่ามีชื่อของตัวเองเรียบร้อย  ลงทะเบียนเสร็จก็รีบเข้าห้องพักทันที  เกือบเที่ยงคืน!         

ตอนเช้าลงมาร่วมประชุมก็พบว่าสุภาพบุรุษชาวอินเดียที่เห็นคือ B.K.Passi ผู้มีชื่อร่วมเดินทางมาจากเมืองไทย  พอเห็นหน้าป้าเจี๊ยบปุ๊บก็ต่อว่าเรื่องไม่รอที่สนามบิน  เธอบอกว่าออกไปโทรศัพท์ติดต่อเรื่องรถว่าทำไมยังไม่มารับ  กลับเข้ามาก็ไม่เห็นป้าเจี๊ยบซะแล้ว

ป้าเจี๊ยบเองก็อยากต่อว่าเช่นกันที่ไม่ทักก่อน ทั้งๆที่เป็นฝ่ายรู้จักเรา จนทำให้เกิดเรื่องอย่างนี้  แต่ป้าเจี๊ยบรู้ตัวว่าทำผิดจริงๆ ครั้งนี้  เลยตอบไปสั้นๆ ว่า ขอโทษ ขี้เกียจรอ อยากพักผ่อน 

ครั้งนี้ นับว่าโชคดีจริงๆที่ไม่เป็นอันตรายใดๆ 

ต่อไปต้องระวังตัวให้มากกว่านี้..อย่าปล่อยกระเป๋าเดินทางให้หลุดไปอยู่ในมือคนแปลกหน้า และห้ามคบแท็กซี่ผีโดยเด็ดขาด!

หมายเลขบันทึก: 111054เขียนเมื่อ 12 กรกฎาคม 2007 23:55 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 19:26 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

โห....ระทึกจริงๆค่ะป้าเจี๊ยบ

ขอบพระคุณสำหรับประสบการณ์นี้นะคะ

หนิงก็เดินทางบ่อยค่ะ แต่ กทม-มหาสารคาม นะคะ  นั่งรถทัวร์ไปถึงเช้ามืด  (ตึ๊ดตื๋อ...) หนิงก็ไม่ยอมนั่งแท๊กซี่ค่ะ  จะยอมนั่งรอให้เช้าที่สถานีรถก่อนค่ะ  พอสว่างสักหน่อยค่อยกล้านั่งแท๊กซี่คนเดียวค่ะ

โชคดีที่เดี๋ยวนี้  ท่ารถของนครชัยแอร์ เขาแยกออกมาจากหมอชิต2 นิดนึง สถานที่ก็ไม่พลุกพล่านแต่ก็ไม่เปลี่ยว  ไม่น่าอันตรายใดๆ  หนิงก็จะนั่งเล่นเกมส์ หรือดูหนังจาก pocket PC รอให้สว่างก่อนค่ะ

ป้าเจี๊ยบเองก็ไม่กล้าขึ้นแท็กซี่คนเดียวในเวลากลางคืนหรือมืดค่ำเหมือนกันค่ะ

อยากให้มีระบบอะไรสักอย่างที่จะช่วยให้ผู้โดยสารอย่างเราๆ รู้สึกมั่นใจในความปลอดภัยเมื่อใช้บริการจังเลย

  • สวัสดีค่ะ ป้าเจี๊ยบ ..

ลุ้นระทึกไปด้วยค่ะ   น่ากลัวไม่ใช่น้อย

ดีแล้วนะคะ  ที่ไม่ได้เป็นอะไร

สวัสดีค่ะ คุณป้าเจี๊ยบ

ติดตามบทความ ภาษาอังกฤษ อยู่ค่ะ  

อ่านไปพลาง ลุ้นไปพลาง ระทึกใจค่ะ

โชคดีนะคะ เพราะ คนดีตกน้ำไม่ไหล

ตกไฟไหม้ ค่ะ ...

ขอบคุณค่ะ สำหรับประสบการณ์ใหม่ๆ

ลุ้นระทึกมากเลยค่ะ ตื่นเต้น แป๋วก็เดินทางบ่อย แต่ที่กลัวเวลาขึ้นแท๊กซี่กลางคืน ก็ที่บ้านเราเองนี่แหละค่ะ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท