เมื่อปี 2545 โรงเรียนได้เข้าร่วมโครงการวิจัยและพัฒนาเพื่อปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งโรงเรียน ด้วยนวตกรรม “การสอนด้วยกระบวนการวิจัย” การดำเนินงานในครั้งนั้นได้เกิดบรรยากาศใหม่และจุดประกายความคิดของครูในการพัฒนาการจัดกระบวนการเรียนรู้ ครูในรุ่นแรก ๆ ที่นำนวตกรรมนี้ไปใช้ เราต่างเรียนรู้ไปพร้อมกัน มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานเป็นระยะๆ มาถึงวันนี้ครูของเราก็ยังคงใช้นวตกรรมนี้พัฒนาผู้เรียน จากการทำงานร่วมกันหลายปีทำให้พบว่า ครูของเรามีเทคนิคในการทำงานของตนให้สำเร็จในรูปแบบที่ต่างกัน เนื่องจากผู้เรียนที่ครูคลุกคลีด้วยเป็นบุคคลที่มีวัยต่างๆ กัน แต่ส่วนที่เหมือนกันเกี่ยวกับการสอนด้วยกระบวนการวิจัย หรือการสอนให้ผู้เรียนสามารถแสวงหาความรู้ด้วยกระบวนการวิจัย คือ ประการแรก การเร้าความสนใจให้ผู้เรียนมีความอยากรู้ อยากหาคำตอบ ลำดับต่อไปเป็นบทบาทที่สำคัญของครู คือ การใช้คำถามอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นการคิดของผู้เรียนอย่างเป็นระบบ จนสามารถเห็นแนวทางในการไปแสวงหาคำตอบ เช่น - นักเรียนต้องการรู้อะไร- รู้เพื่ออะไร- จะไปทำอะไร ที่ไหน และอย่างไร- ถ้าทำตามวิธีที่คิดไว้แล้วไม่ได้คำตอบ นักเรียนจะทำอย่างไรต่อไป หรือถ้าจะพัฒนาให้งานค้นคว้าชิ้นนี้สมบูรณ์ขึ้น จะสามารถเพิ่มเติมหรือดัดแปลงอย่างไรได้บ้างคำถามต่อเนื่องเหล่านี้ จะกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดอย่างเป็นระบบ ครูไม่ควรนำเรื่องของรูปแบบการเขียนรายงานหรือการจัดทำเอกสารมาทำให้ผู้เรียนขาดจินตนาการและสะดุดความคิดสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ การชี้ประเด็นให้ผู้เรียนเห็นว่า “งานวิจัย” ไม่ใช่การเขียนข้อมูลขึ้นเอง ข้อมูลต้องเชื่อถือได้ กล่าวคือ ต้องเป็นข้อมูลจริง มาจากแหล่งข้อมูลที่สืบค้นได้ มีจำนวนข้อมูลมากพอที่จะสรุปได้ เป็นต้น บทบาทของครูนอกจากช่างซักช่างถามให้ผู้เรียนคิดอย่างต่อเนื่องแล้ว ครูต้องติดตามการทำงานของผู้เรียนอย่างใกล้ชิด มีการเสริมแรงหรือกระตุ้นเป็นระยะๆการฝึกให้ผู้เรียนสามารถแสวงหาความรู้ด้วยกระบวนการวิจัย ไม่ใช่เรื่องที่จะบอกวิธีทำเป็นข้อๆ 1-2-3 แล้วนักเรียนจะทำได้เลย แต่ครูต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ ซึ่งจะเป็นบทพิสูจน์ “ความเป็นครู” อีกบทหนึ่ง ความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากการสอนด้วยกระบวนการวิจัย ไม่ใช่ชิ้นงานหรือรูปเล่มที่ผู้เรียนนำส่ง แต่คือกระบวนการที่ถูกปลูกฝังให้เกิดขึ้นในตัวเด็ก ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ว่าแฝงอยู่ส่วนใดของร่างกาย แต่กระบวนการดังกล่าวจะซ่อนอยู่ในตัวเด็กและสามารถถูกดึงออกมาใช้ได้ตลอดชีวิตไม่มีวันหมด ยิ่งถูกดึงออกมาใช้มาก ก็ยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น และเป็นการสนับสนุนคำกล่าวที่ว่า… “ถ้าท่านสอนวิธีจับปลาให้เขา เขาจะมีปลากินตลอดชีวิต”
นันทา ชุติแพทย์วิภา