นายคณิสสร นาวานุเคราะห์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เผยผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ เมื่อปี 2549 มาแสดงพบว่า สถานประกอบการในประเทศไทยจำนวน 827,051 ราย มีเพียง 3.9 %ที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง และ 1.4 % ที่สั่งซื้อสินค้าผ่านอินเทอร์เน็ต ขณะที่สถานประกอบการที่ขายสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ตมีเพียง 0.8 %
มูลค่าการซื้อขายสินค้าออนไลน์ในประเทศไทย จากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2548 พบว่ามีมูลค่า 220,924 ล้านบาท ทว่าส่วนใหญ่เป็นการจัดซื้อจัดจ้างผ่านระบบอีอ็อคชั่น ของกรมบัญชีกลาง ขณะที่มูลค่าการซื้อขายในภาคเอกชนยังไม่มากเท่าที่ควร
“ผู้ซื้อและผู้ขายต่างไม่มีความมั่นใจในการซื้อขายสินค้าผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซกลัวว่าจะได้สินค้าไม่ตรงกับที่สั่ง การสั่งจ่ายเงินผ่านระบบบัตรเครดิตยังมีน้อยเพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัย ทำให้ต้องเน้นการโอนเงินเป็นหลัก ส่งผลให้เกิดความล่าช้า ดังนั้นต้องมีกฎหมาย และระบบการจ่ายเงินที่น่าเชื่อถือ เข้ามารองรับ”
นอกจากนี้ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับระบบอินเทอร์เน็ตก็มีส่วนสำคัญด้วย เนื่องจากประเทศไทยยังมีจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเพียง 10 กว่าล้านคน และใช้คอมพิวเตอร์เพียง 7 ล้านคน ทำให้การไม่เคยชินในการใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา กรมฯ ได้มีการส่งเสริมให้ผู้ซื้อมีความมั่นใจมากขึ้น ด้วยเครื่องหมายรับรองการประกอบธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจทุกรายต้องจดทะเบียนที่กรมฯ ปัจจุบันมีการเข้าจดทะเบียนประมาณ 80% ของจำนวนผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซ นอกจากนี้ ทางกรมฯ กำลังเร่งดำเนินการทำเครื่องหมาย Trust Mark เพิ่มเติม เพื่อเพิ่มความมั่นใจแก่ผู้ซื้อด้วย
ขณะนี้ในแง่ของการให้ความรู้และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการหันมาทำอีคอมเมิร์ซกันมากขึ้น ด้วยการเปิดโครงการ “อีคอมเมิร์ซ ออนไลน์” โดยการเรียนการสอนผ่านระบบอีเลิร์นนิ่ง บนเว็บไซต์ www.dbdacademy.com ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการจะเรียนรู้กระบวนการทำธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตตั้งแต่การเริ่มต้นมีเว็บไซต์ การทำอีมาร์เก็ตติ้งให้เว็บเป็นที่รู้จัก และขายสินค้าได้
“โครงการดังกล่าวจะผลักดันให้ผู้ประกอบการใช้อีคอมเมิร์ซเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว ภายใน 3 ปี” เขาคาดหวัง
ที่มา: บิสิเนสไทย
สนับสนุนโดย : www.captuscom.comไม่มีความเห็น