11 มีนาคมที่ผ่านมา -
ผมเคยได้ลั่นวาจากับนิสิตไว้ว่า กลับจากค่าย เราต้องกลับมาสู่เวทีพบปะกันสักครั้ง ใครมีเรื่องค่ายในมุมใดก็นำมาแลกเปลี่ยนและแบ่งปันซึ่งกันและกัน ซึ่งวันนี้ (4 กรกฎาคม) พันธะทางใจระหว่างเราก็กลับมาเป็นรูปเป็นร่าง และมีชีวิตชีวาอย่างน่าอัศจรรย์
เย็นของวันที่ 4 กรกฎาคม ลานหญ้าอันเขียวงามของพิพิธภัณฑ์ มมส เนืองแน่นไปด้วยนิสิตจำนวนมาก เรือนอีสานตั้งตระหง่านอย่างเงียบขรึม ขณะที่ซุ้มแสดงผลงานของนิสิตจากชมรมต่าง ๆ ก็ถือกำเนิดขึ้นอย่างน่าชื่นชม
นี่คือ เวทีของคนค่าย, นี่คือเวทีที่เป็นเสมือนตลาดนัดทางปัญญา , นี่คือการนำเรื่องราว “หมู่บ้าน” มาสู่มหาวิทยาลัย แหละนี่คือ … พันธทางใจที่เรามีต่อกันอย่างมั่นคง
ผมใช้เวลามากโขต่อการเยี่ยมชมซุ้มนิทรรศการขององค์กรต่าง ๆ พานพบเจอบรรยากาศค่ายจากชุมชนผ่านภาพและอุปกรณ์อันเป็นส่วนหนึ่งของนาฏกรรมค่ายอย่างชัดเจน บางค่ายนำเสนอภาพถ่ายการทำงานและวิถีชุมชนที่หลากหลายมุมมอง บางค่ายนำเอาอุปกรณ์ก่อสร้าง, หมวก, เสื้อค่าย, สมุดค่าย, กีตาร์, กลอง, วีดีทัศน์, แผ่นป้าย, และอื่น ๆ อีกจิปาถะมาจัดแสดงไว้อย่างคึกคักและอัดแน่นด้วยความหมาย
บางชมรมบอกเล่ากับผมว่า “กีตาร์” ตัวนี้ คือ เครื่องมืออันทรงพลังที่ช่วยให้ทีมงานได้มีเงินไปออกค่าย นั่นหมายถึงว่า ชาวค่ายได้นำกีตาร์ตัวนี้ไปเล่นเปิดหมวกรับบริจาคตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งก็ได้รับการอนุเคราะห์อย่างล้นหลาม ครั้นพอไปใช้ชีวิตในวิถีค่าย กีตาร์ตัวนี้ก็เป็นมโหรีแห่งการขับกล่อมที่เต็มไปด้วยพลังแห่งศรัทธา และบรรเลงย้ำไม่ให้เราสูญเสียศรัทธาต่อการ “เรียนรู้และแบ่งปัน”
บางชมรมนำผลิตผลเชิงวัฒนธรรมจากชุมชนมาจำลองไว้ให้ดูอย่างกลมกลืน รวมถึงการนำมาประยุกต์เป็นอุปกรณ์ประดับซุ้มได้อย่างน่ารัก น่าชัง ! บางชมรมนั่งพับเพียบร้องสรภัญญะอย่างไม่รู้เหนื่อย บ้างก็เดินร่ายรำเซิ้งขอรับการสมทบเงินค่ายในวาระแห่งอนาคต ขณะที่บางกลุ่มก็นำเสื้อชมรมมาจำหน่าย หรือไม่ก็นำโปรแกรมฉายภาพยนตร์เพื่อสร้างค่ายมาโปรโมตอย่างคึกคัก
ขณะที่บางมุมของซุ้มก็ขับร้องเพลงของชมรมตนเองอย่างไม่รู้เบื่อ รวมถึงการนำของกินของใช้มาแบ่งปันกันอย่างเอื้ออาทร
ชาวค่าย … งดงามเสมอในสายตาของผม พวกเขาอาจจะดูกล้า, กร้าว, กระดาก, หรือแม้แต่เงียบขรึมราวต้นไม้ใหญ่ที่ใบหนาและรกครึ้ม หรือแม้แต่ชาเฉยราวตอไม้กลางทุ่ง หรือแม้แต่เป็นประหนึ่งหญ้าเขียวที่ชันต้นและแผ่ใบเรียวงามในห้วงแห่งวสันตฤดู …
ผมมีความสุขอย่างมหาศาลต่อการได้เดินเที่ยวชมซุ้มแสดงผลงานของชาวค่าย สิ่งที่ปรากฏอยู่ในซุ้มดูมีชีวิตและดูราวกลับกำลังกวักมือเรียกให้ผมก้าวทะลุไปสู่มิติของชุมชนที่พวกเขาเพิ่งจากมาเมื่อไม่นาน … ผมรู้สึกราวกับว่า ผมได้ท่องเข้าไปยังโรงเรียนและหมู่บ้านอีกหลายแห่ง รู้สึกราวกับว่าได้เข้าไปสัมผัสจริงกับเรื่องราวอีกหลายเรื่องที่สื่อสารอยู่ในซุ้มที่อบอวลด้วยบรรยากาศพื้นถิ่นอันชวนหลงใหล
งานวันนี้ คือ เวทีแห่งการแลกเปลี่ยนการเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งโดย “สื่อ” และโดยวาทกรรมแห่งการสนทนาปราศรัย สื่ออันเป็นผลงานเหล่านี้ คือ ผลผลิตจากการสกัดความรู้ในมิติการเรียนรู้จากวิถีของการทำค่าย ย้อนกลับไปสู่เดือนมีนาคมอันแสนสั้น นิสิตมีเวลาออกค่ายเพียงไม่ถึง 10 วัน แต่จำนวนวันอันน้อยนิดนั้นกลับมีกิจกรรมเกิดขึ้นมากกว่า 20 ค่าย และส่วนใหญ่ล้วนเป็นความบากบั่นของแต่ละองค์กรในการระดมทุนไปสู่การออกค่ายด้วยตนเองเกือบทั้งหมด
ผมยังแอบแกล้งสงสัยอยู่ตลอดเวลาว่า “ค่าย” มีเสน่ห์ตราตรึงใจมากมายถึงปานนี้เชียวเหรอ คนหนุ่มสาวในรั้วมหาวิทยาลัยรุ่นแล้วรุ่นเล่า จึงพร้อมใจตบเท้าก้าวเดินออกไปค้นหาความหมายของชีวิตนอกห้องเรียนอยู่อย่างไม่รู้จบ …
ค่ายให้อะไรกับพวกเขาบ้างหนอ ? สิ่งที่ผมได้รับจากค่ายจะยังคงเหมือนสิ่งที่พวกเขาได้รับในวันนี้อยู่หรือเปล่า ? ค่ายอันแสนสั้นเหล่านั้นมีคำถามและคำตอบเรื่อง “โลกและชีวิต” เช่นใดบ้าง ?
แต่นี่แน่ชัดอยู่ประการหนึ่งก็คือ ซุ้มแสดงผลงาน หรือนิทรรศการเหล่านี้ ล้วนเป็นผลพวงของการเรียนรู้จากวิถีค่ายทั้งสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏอยู่อยู่ในซุ้มอันงดงามนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเสมือน “บันทึกจากค่าย” หรือไม่ก็เป็นเสมือน “ร่องรอยการเดินทางครั้งหนึ่งของชีวิตในวิถีค่าย” …
สำหรับผมแล้ว, ผมได้แต่ขอบคุณพวกเขาอยู่อย่างลึก ๆ … การส่งต่อ “ความคิด” ไปสู่องค์กรนิสิต ประสบความสำเร็จเกินที่วาดหวัง พวกเขาทำได้และทำได้เยอะกว่าที่ผมคิด และผมก็ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะกล่าวขอบคุณเขาอย่างเป็นทางการบนเวทีการเสวนา - ขอบคุณที่เขามาสานต่อ “ความฝัน” ของผม มาช่วยให้ลมหายใจของคน “รักค่าย” ไม่แตกดับและสูญสลายไปตามยุคสมัยและงานของวันนี้ทั้งหมด คือ การยืนยันอย่างอหังการ์ว่า “นิสิตนักศึกษายังไม่ตาย !”
ก่อนพิธีเปิดจะเริ่มขึ้น ผมร้องทักพิธีกรอันเฉิ่มเชยของผมว่า “แต่งผญาเปิดงานให้แน ..อยากฟังบักขนาดเลย ..” “เอาอีหลีติอ้าย..” หนุ่มหน้าตาชุมชนหันมาถามย้ำความมั่นใจ
“แมน .. อยากฟังอีหลี” และนี่คือ ผญาที่พิธีกรอันเฉิ่มเชยของผมเขียนขึ้นอย่างเร่งรีบและนำมาอ่านได้อย่างน่าชัง !
นักศึกษาตายแล้ว คนแซวเว้า พวกหมู่เฮาอดสู ดิ้นสู้ทน ด้วยสมอง ด้วยสองมือ ด้วยตัวตน เพื่อมวลชน เพื่อพี่น้อง หมู่ผองไท
งานมื้อนี้ เป็นสิ่งดอกพิสูจน์ องค์การพูด องค์การเว้า เล่าเรื่องขาน ว่าสืบสาน ต่อชีวิต เป็นตำนานนักกิจกรรม ทำต่อไป -
เสียดายที่ไม่ได้ไปร่วม และ อยู่ในบรรยาศสดๆ เพราะติดภาระกิจเร่งด่วน และตามมาเรียนรู้ค่ะ
ชาวค่าย ยังคงงดงามเสมอจริง ๆ ครับอาจารย์แผ่นดิน
มาแวะเวียน เรียนรู้ งานคนชาวค่าย
มารำลึกความหลัง ครั้งเคยเป็นคนชาวค่าย
มาเป็นกำลังใจ ต่อลมหายใจคนรักค่ายค่ะ
.... สัมผัสบรรยากาศ พระธาตุนาดูน เผื่อด้วยนะคะ
ยังไม่เคยไปค่ะ คุณแผ่นดินเขียนเรื่องเกี่ยวกับพระธาตุนาดูนสิค่ะ อยากชมหลาย
ขอบคุณล่วงหน้าเด้อค่า
สวัสดีค่ะ
เล่าเรื่องขาน ว่าสืบสาน ต่อชีวิต เป็นตำนานนักกิจกรรม ทำต่อไป
ค่ะ เห็นด้วย เป็นนักกิจกรรมทำต่อไปค่ะ
มัวไปเป็นสาวกทม.อยู่เลย พลาดโอกาสดีดีแบบนี้
แต่ไม่เป็นไรคะ จะตามติดตามบรรยากาศจากเวบนะคะ
http://gotoknow.org/blog/pandin/81981
และนี่คือบางส่วนของภาพถ่ายของพระธาตุนาดูน ที่ขออนุญาตนำมาแสดงซ้ำอีกรอบ
ขอบคุณนะครับที่แวะมาให้กำลังใจ...
สวัสดีครับ เจ้หนิง
ไม่ค่อยได้เจอกันเลย... เพราะผมไม่เคยได้นั่งโต๊ะทำงาน ...
ผมเพิ่งปิดบันทึกว่าด้วยลมหายใจปัญญาชนคนชาวค่ายไปเมื่อครู่นี้เอง
ภาพในเว็บกองกิจการนิสิตก็มีเยอะนะครับ... ว่าง ๆ เรียนเชิญเที่ยวชมได้เลยโดยไม่ต้องจ่ายตังค์...
ขอบคุณครับ