เมื่อเช้าวันจันทร์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสสนทนากับท่านศ.ยุพา วงศ์ไชย ซึ่งเป็นอาจารย์ประจำคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขณะที่นั่งรถจากเชียงใหม่เพื่อมาสอนที่ธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง ท่านอาจารย์ใจดีมาก ดูเป็นผู้ใหญ่ที่อบอุ่น ความจริงผู้วิจัยเคยเห็นท่านมาสอนบ่อยๆแต่ไม่เคยมีโอกาสคุยกับท่านสักที วันนี้เลยเป็นโอกาสที่ดี หัวข้อของการคุยไม่ได้มีการตั้งเอาไว้ในใจ (สำหรับผู้วิจัย) คุยกันไปเรื่อยๆ ไปๆมาๆมาลงที่เรื่อง KM ได้ยังไงก็ไม่รู้ ท่นอาจารย์บอกว่าท่านก็ศึกษาเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เพราะ วิชาที่ท่านสอนก็มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของความรู้ ไม่ว่าจะใช้ความรู้ สร้างความรู้ อาจารย์ท่านบอกชื่อวิชาเหมือนกันแต่ผู้วิจัยจำไม่ได้แล้ว (อย่างที่เคยบอกมานั่นแหละค่ะว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์อย่างแรง) ข้อคิดที่ได้จากท่านมีอยู่หลายข้อ ท่านบอกว่าที่ธรรมศาสตร์เคยเชิญนักวิชาการจากต่างประเทศมาบรรยายเรื่อง KM เหมือนกัน ท่านเคยไปฟังมาแล้ว แต่เขาก็บรรยายเหมือนในหนังสือที่ท่านเคยอ่านมา ทำให้ผู้วิจัยคิดได้ว่าต่อไปคงต้องอ่านหนังสือให้มากขึ้นกว่านี้มากๆๆๆๆๆๆๆๆ ท่านอาจารย์ยังบอกอีกว่า KM จะช่วยให้ผู้วิจัยคิดอย่างเป็นระบบ ซึ่งข้อนี้สำคัญมาก เพราะ ใครๆก็คิดได้ แต่การคิดอย่างเป็นระบบนั้นไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลว่าที่ทำๆมาเป็น KM หรือเปล่า KM จะแทรกซึมเข้าไปในความคิดเองถ้าเราได้คิด ได้ทำบ่อยๆ โดยที่เราอาจไม่รู้ตัวก็ได้ นอกจากนี้อาจารย์ท่านยังให้คำแนะนำอีกว่าถ้ามีเรื่องที่ต้องการขอคำปรึกษาหรือมีข้อสงสังเกี่ยวกับการใช้ KM กับชุมชน ให้ลองไปคุยกับท่านอาจารย์ปาริชาติ วลัยเสถียร ซึ่งเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาพัฒนาชุมชน คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพราะ ท่านศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง (ความจริงเรื่องนี้ผู้วิจัยก็ทราบเหมือนกัน เพราะ ลูกศิษญ์ของผู้วิจัยที่จบไปแล้วก็เคยมาเล่าให้ฟังว่ากำลังช่วยงานอาจารย์ปาริชาติเรื่อง KM อยู่) จากการที่ได้สนทนากับอาจารย์ยุพาทำให้ผู้วิจัยได้ความรู้กรือข้อคิดขึ้นมาอีกหลายอย่าง ดังนั้น ผู้วิจัยจึงตั้งใจว่าต่อไปจะพยายามหาความรู้ในเรื่อง KM ให้มากขึ้น ซึ่งไม่ต้องรอจากการอบรมสัมมนา หรือจากการอ่านหนังสือ เพราะ ลองมานั่งนึกๆดูแล้วความจริงคนที่อยู่รอบข้างผู้วิจัยตั้งมากมายล้วนเป็นผู้มีความรู้และสามารถให้คำแนะนำเรื่อง KM ได้ทั้งนั้น
ไม่มีความเห็น