จากลำปางไป 2-3 วันรู้สึกว่าอะไรๆก็เปลี่ยนไป อย่างแรกสุด สุดแสนจะประหลาดใจที่วันนี้ฝนตก (หลังจากที่ไม่ตกมานาน) อากาศก็ยิ่งเย็นลงไปอีก แถมมีหมอกลงด้วย เพื่อนอาจารย์บางคนบอกว่าอยู่ลำปางมาจะ 6 ปีแล้วก็เพิ่งได้เห็นและสัมผัสอากาศแบบนี้ วันนี้ช่วงเช้าเข้าไปคุมสอบจนถึงเที่ยงครึ่ง ได้มีโอกาสอ่านคำตอบ (แบบผ่านๆ) ของนักศึกษาแล้วรู้สึกหนักใจมาก (ในตอนแรก) เพราะ นักศึกษาเขียนกันไม่ได้เลย (ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ) ทั้งๆที่เวลาสอนก็ดูเข้าใจดี ความจริงปรากฎการณ์อย่างนี้ผู้วิจัยเห็นว่าคงเป็นแนวโน้มของนักศึกษาไทยในปัจจุบัน ทำให้มาลองคิดวิเคราะห์ดูว่าสาเหตุที่นักศึกษาเขียนกันไม่ค่อยได้เป็นเพราะอะไร เราในฐานะครูบาอาจารย์จะแก้ไขอย่างไร ในการวิเคราะห์นั้นก็ได้ชวนอาจารย์ท่านอื่นมาร่วมพูดคุยด้วย ต่างแสดงความคิดเห็นที่คล้ายคลึงกันว่า อาจเป็นเพราะ นักศึกษาในสมัยนี้ไม่ถนัดทักษะการเขียน เราอาจวัดผลนักศึกษาโดยใช้วิธีการสอบโดยการเขียนเป็นหลักจึงทำให้ผลเป็นอย่างนี้ ผู้วิจัยได้เสนอว่า ความจริงเราน่าจะวัดผลแบบอื่นๆบ้าง เช่น ให้พูดมากขึ้น (สอบปากเปล่า) แต่ก็มีผู้แย้งว่าทักษะการเขียนเป็นเรื่องที่สำคัญ ถ้าเราไปให้ความสำคัญกับทักษะอื่นมาก เด็กก็จะยิ่งเขียนไม่ได้ การแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ทำให้ผู้วิจัยเห็นว่าความจริงแล้วการวัดผลแบบต่างๆหรือด้วยวิธีการต่างๆนั้นครูอาจารย์เป็นผู้กำหนดเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่เราแทบจะไม่เคยถามเด็กเลย หรือถ้าถามเด็กมักจะไม่ค่อยกล้าแสดงความคิดเห็น ซึ่งส่วนหนึ่งอาจมาจากการที่เราปลูกฝังให้เด็กต้องเคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่ จริงๆแล้วเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้ามากไปก็จะเป็นผลเสียได้
หลังการสนทนาผู้วิจัยมานั่งคิดต่อว่าทำไมตัวเองจึงคิดได้เช่นนี้และกล้าแสดงความคิดเช่นนี้ซึ่งปกติแล้วไม่ใช่นิสัยของผู้วิจัยเลย คำตอบที่บอกกับตนเองก็คือคงเป็นผลมาจากการได้ทำงาน KM (จริงๆนะคะ) การทำงานกับชุมชน การเข้าร่วมกิจกรรมกับทีมประสานงานทำให้ความคิดกล้าเข็งขึ้น คิดอย่างเป็นระบบมากขึ้น (แต่อาจยังเขียนไม่เป็นระบบ) รวมทั้งพยายามหาทางออกให้กับปัญหาต่างๆ อย่างปัญหานักศึกษาเขียนไม่เป็นก็เช่นกัน ตอนแรกผู้วิจัยก็วิตกมาก รู้สึกเครียด แต่พอนั่งสงบ แล้วใช้สมาธิ แสงสว่างทางปัญญาก็เกิดขึ้น ผู้วิจัยคิดว่า ทีมสงขลาขนาดเป็นองค์กรชาวบ้านเขายังเขียนกันได้เลย แล้วทำไมนักศึกษาซึ่งรำเรียนมาตั้งมากจะเขียนไม่ได้ เพียงแต่ตอนนี้นักศึกษาอาจมีปัญหาบางอย่างหรือติดขัดบางอย่าง เช่น ไม่รู้ว่าจะเขียนอย่างไร เริ่มต้นไม่เป็น สรุปไม่ลง ถ้าอย่างนั้นเราต้องหาทางแก้ไข เครียดไปก็ไร้ประโยชน์ คิดได้อย่างนี้ผู้วิจัยก็เริ่มค้นหาวิธีการที่จะฝึกให้นักศึกษาเขียนเป็น ในที่สุดก็ "ปิ๊งแว๊บ" ขึ้นมาว่าสมัยเรียนปริญญาโท อาจารย์สอนภาษาอังกฤษเคยทำแบบฟอร์มสั้นๆประมาณ 1 หน้าให้กับนักศึกษา โดยในการเขียนแต่ละครั้งนักศึกษาต้องหัดเขียนตามแบบฟอร์ม คือ เริ่มต้นจากการตั้งชื่อเรื่อง ต่อจากนั้นก็กำหนดเนื้อหาสำคัญหรือจุดสำคัญของเรื่องให้ได้ (เปรียนบเสมือนส่วนนำ) หลังจากนั้นก็เข้าเนื้อหา โดยเนื้อหาในแต่ละส่วนต้องมีประโยคจึงเป็นโฟกัสของแต่ละย่อหน้า จากนั้นค่อยเขียนขยายจุดโฟกัส (ซึ่งก็คือส่วนเนื้อเรื่อง) สุดท้ายเป็นการสรุปใจความสำคัญของเรื่อง ผู้วิจัยคิดว่าจะทดลองนำไปให้นักศึกษาฝึกเขียนบ้าง เชื่อว่าหากฝึกไปเรื่อยๆความชำนาญก็จะเกิด เหมือนกับ KM ถ้าไม่ทำก็ไม่รู้
เอาละ เขียนเล่าสัพเพเหระมาตั้งนาน มาเข้าเรื่องของเราดีกว่าค่ะ วันนี้ตั้งใจจะเล่าเรื่องตำบลละแสน ภาค1 ให้จบ ขอเล่าต่อเลยนะคะ ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน ผู้วิจัยได้คุยกับคุณสามารถในเรื่องสถานที่จัดประชุม เพราะ คุณสามารถได้บอกกับท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปางและท่านพมจ.ว่าจะจัดที่ห้องประชุมเทศบาลนครลำปาง แต่ผู้วิจัยเห็นว่าน่าจะหาสถานที่ที่เป็นหน่วยงานกลางดีกว่า ในที่สุดก็ตกลงกันว่าจะไปใช้สถานที่ที่ มธ.ศูนย์ลำปาง
ในวันรุ่งขึ้น คือ วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2548 เวลาประมาณ 19.30น. ผู้วิจัยและอาจารย์พิมพ์ฉัตรได้ไปร่วมประชุมที่บ้านคุณสามารถตามที่ได้นัดหมายกันไว้ วันนี้ก็ยังคงพร้อมหน้าพร้อมตา มีรองประธานมาประชุม 3 คน (ขาดดาบไพศาล) คุณชายและอาจารย์จรัส (ประธานกลุ่มหมอสม) ก็มาร่วมด้วย ขอสารภาพก่อนว่าผู้วิจัยและอาจารย์พิมพ์อยู่ร่วมประชุมได้เพียง 1 ชั่วโมงก็ขอตัวกลับ เพราะ พรุ่งนี้มีสอน
สำหรับเนื้อหาของการประชุมนั้นมุ่งไปที่การเตรียมการข้อมูลเรื่องตำบลละแสน คุณสามารถแสดงความห่วงใยว่าเกรงข้อมูลจะไม่เรียบร้อย เพราะ พูดเรื่องข้อมูลมา 2 ปีแล้วไม่เรียบร้อยเสียที ขอให้ทุกคนแสดงความคิดเห็นช่วยกันหน่อยว่าจะทำอย่างไรให้ทันวันที่ 11 มกราคม 2549 ปรากฎว่าไม่มีใครแสดงความคิดเห็นเลย ผู้วิจัยซึ่งตั้งใจว่าจะไม่พูดอะไรก็เลยต้องละเมิดความตั้งใจของตัวเอง โดยเสนอเหมือนกับทุกครั้งที่พูดเรื่องนี้ คือ ควรให้รองประธานซึ่งดูแลกองทุนต่างๆ รวมทั้งคณะกรรมการตรวจสอบของเครือข่ายเข้าไปตรวจสอบทีละกลุ่ม โดยกำหนดวันที่จะลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบ แล้วแจ้งให้แต่ละกลุ่มทราบว่าเครือข่ายฯจะลงไปในช่วงนี้ ให้แต่ละกลุ่มเสนอว่าจะให้เครือข่ายไปกลุ่มของตัวเองวันไหน (แต่ต้องอยู่ในกำหนดด้วย) ถ้าไม่อย่างนั้นเรื่องคงไม่จบ ยิ่งเวลาเหลือน้อยอย่างนี้ ยิ่งต้องจี้ (ทั้งๆที่ไม่อยากทำอย่างนี้เลย แต่เหตุการณ์บังคับก็ต้องทำ) ที่ประชุมเห็นด้วยกับข้อเสนอของนักวิจัย (นี่เป็นเหตุหนึ่งที่ไม่ค่อยอยากจะเสนออะไร เพราะ รู้สึกว่าหากเสนอไปแล้ว คณะกรรมการก็มักจะเห็นด้วย ซึ่งในความเป็นจริงเขาอาจไม่เห็นด้วยก็ได้ แต่ไม่อยากขัดใจผู้วิจัย เหมือนเป็นการชี้นำยังไงก็ไม่รู้) หลังจากได้ข้อสรุปในเรื่องนี้แล้วคณะกรรมการก็พักเพื่อทานข้าวเย็น แต่ผู้วิจัยขอตัวกลับก่อน เพราะ ต้องรีบไปเตรียมสอน แต่จากการโทรศัพท์สอบถามถึงเรื่องที่คุยกันต่อหลังทานข้าวว่ามีเนื้อหาเพิ่มเติมหรือไม่ ทราบจากผู้เข้าร่วมประชุมว่าตกลงจะเริ่มลงตรวจในวันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม ที่กลุ่มนาก่วมใต้ และวันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม ที่กลุ่มสบตุ๋ย หลังจากนั้นจะใช้เวลาในช่วงเย็นลงกลุ่มอื่นๆแต่ยังไม่ได้กำหนดว่าจะเป็นกลุ่มไหน
ความจริงแล้วเรื่องตำบลละแสนน่าจะจบภาคหนึ่งแค่นี้ แต่ผู้วิจัยเพิ่งได้รับการบอกเล่าจากคณะกรรมการคนหนึ่งว่าเงินที่ได้สมทบมาประธานฯบอกว่าจะนำมารวมกันเป็นกองทุนที่เครือข่าย ซึ่งทางกลุ่มไม่เห็นด้วย (แต่ไม่กล้าแย้ง) เพราะ คิดว่าเงินน่าจะลงมาที่แต่ละกลุ่มเพื่อให้กลุ่มบริหารจัดการเองจะดีกว่า ผู้วิจัยได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกไม่สบายใจ (อีกแล้ว) เพราะ ยังไม่ทราบข้อมูลในเรื่องนี้ แต่หากเป็นดังที่คณะกรรมพูด ผู้วิจัยขอตั้งข้อสังเกตไว้ข้อหนึ่งก็แล้วกันว่า เงินตำบลละแสนที่จะได้มานั้นเป็นเงินที่มาจากภายนอก ซึ่งครั้งหนึ่งเครือข่ายก็เคยได้รับเงินหนุนเสริมจากภายนอกเช่นนี้ แต่เงินที่ได้มากลับทำให้เครือข่ายแตกแยก เงินตำบลละแสนในครั้งนี้จะซำรอยเดิมหรือไม่ นี่คือ บทพิสูจน์ความเข้มแข็งของเครือข่ายที่สำคัญอีกบทหนึ่งทีเดียว