ชีวิตคืออะไร?


ชีวิตที่มีคุณค่าหรือมีสาระจึงเป็นชีวิตที่ทำประโยชน์แก่โลก ส่วนชีวิตที่ทำร้ายโลก หรือเบียดเบียนพืช เบียดเบียนสัตว์และเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ด้วยกันโดยไม่ได้ช่วยเหลืออะไรแก่โลกเลยนั้นจึงเป็นชีวิตที่ไร้คุณค่า ไร้สาระ และน่าเกลียดชังเหมือนเหลือบยุงที่คอยสูบเลือดผู้อื่นเพื่อให้ตนเองอยู่รอด

ชีวิตคืออะไร ?   ทำไมจึงเกิดมา ?    เกิดมาเพื่ออะไร ?

อะไรคือสิ่งสูงสุดที่ชีวิตควรจะได้ และจะได้โดยวิธีใด? ซึ่งนี่เป็นคำถามที่มนุษย์ควรที่จะถามตัวเอง และพยายามแสวงหาคำตอบให้แก่ตัวเอง ถ้าเรายังไม่รู้คำตอบเหล่านี้แจ้งชัดด้วยตัวเองก็เรียกได้ว่าเรายังโง่ หรือยังมืดบอดอยู่ และเมื่อเรายังไม่รู้จักชีวิตอย่างถูกต้อง แล้วเราจะดำเนินชีวิตให้ถูกต้องเพื่อให้ได้สิ่งที่ถูกต้องดีงามหรือสิ่งสูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้ได้อย่างไร?

 ปัจจุบันมนุษย์มีความรู้ในเรื่องทางวัตถุอย่างละเอียดลึกซึ้งมากมาย และรู้แม้กระทั่งเรื่องที่ไกลออกไปนอกโลก อีกทั้งมนุษย์ยังรู้แม้กระทั่งเรื่องในอดีตสมัยเมื่อมนุษย์ยังไม่เกิดขึ้นมาในโลกเสียด้วยซ้ำ แต่มนุษย์กลับไม่รู้จักว่าตนเองคืออะไร? หรือเกิดมาเพื่ออะไร?

ความรู้ทางโลกทั้งหลายนั้น จะมีประโยชน์อะไรแก่ชีวิตของเราอย่างแท้จริงบ้าง? มันสามารถช่วยให้เราพ้นทุกข์หรืออย่างน้อยช่วยให้โลกมีสันติภาพขึ้นมาบ้างได้หรือไม่?

 เปล่าเลย มีแต่จะทำให้ทุกข์เพิ่มขึ้นและโลกมีสันติภาพน้อยลง แล้วทำไมเราไม่ลองหันมาศึกษาตัวเองกันดูบ้าง บางทีเราอาจจะพบกับความจริงของชีวิตขึ้นมาบ้างก็ได้ ผู้คนโดยมากคิดว่าชีวิตเกิดมาเพื่อแสวงหาความสุข และความสุขคือสิ่งสูงสุดสำหรับชีวิต ซึ่งนี่ดูจะเป็นสามัญสำนึกของจิตใจมนุษย์ทุกคน ซึ่งความสุขของโลกก็มีเพียงความสุขจากเรื่องเพศเรื่องสิ่งของฟุ่มเฟือยและเรื่องเกียรติยศชื่อเสียงเท่านั้น มนุษย์ทั้งหลายแสวงหาและแย่งชิงรวมทั้งเบียดเบียนกันก็เพื่อความสุขเหล่านี้

แม้การที่มนุษย์เกิดขึ้นมาจนจะล้นโลกก็เพราะความสุขเหล่านี้ แม้สงครามทุกรูปแบบก็มีสาเหตุมาจากความสุขเหล่านี้ และแม้โลกก็จะพินาศเพราะความสุขเหล่านี้ จริงอยู่ความสุขนั้นมันน่ายินดี น่าหลงใหล น่าติดใจ แต่ในเมื่อมันสร้างปัญหาให้แก่ชีวิตและแม้แก่สังคมมนุษย์ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม รวมทั้งมันก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่เที่ยงแท้ถาวรที่จะตั้งอยู่ได้ตลอดไปโดยไม่ต้องสร้างมันขึ้นมา แล้วอย่างนี้เรายังคิดว่าความสุขนี้จะเป็นสิ่งสูงสุดสำหรับชีวิตกันอยู่อีกหรือ? เมื่อมองคำถามเหล่านี้ในมุมมองของพุทธศาสนาแล้ว เราอาจจะได้คำตอบที่แปลกไปจากมุมมองอื่น อันได้แก่ ชีวิตคืออะไร?

คำตอบก็คือชีวิตก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นมารับรู้สิ่งต่างๆและแสวงหาความสุขพร้อมกับวิ่งหนีความทุกข์ ทำไมชีวิตจึงเกิดขึ้นมา? คำตอบก็คือเพราะพ่อแม่ทำให้เราเกิด โดยมีธรรมชาติผลักดันมา ชีวิตเกิดมาเพื่ออะไร? คือตอบก็คือเพื่อทำหน้าที่ โดยเริ่มตั้งแต่หน้าที่ดูแลรักษาร่างกายให้ดำรงอยู่อย่างเป็นสุข สูงขึ้นไปก็คือหน้าที่ดูแลรักษาครอบครัว,สังคม, ประเทศชาติ,และโลกให้ดำรงอยู่อย่างสงบสุขมีสันติภาพ และสูงสุดก็คือหน้าที่ดูแลจิตใจตัวเองให้ดำรงอยู่โดยมีทุกข์น้อยที่สุดหรือไม่มีทุกข์เลย

อะไรคือสิ่งสูงสุดที่ชีวิตควรจะได้? คำตอบก็คือความไม่มีทุกข์ใดๆเลยตลอดชีวิต ความไม่มีทุกข์ก็คือความสงบของจิตใจ ซึ่งจะตรงข้ามกับความสุขทั่วไปที่ทำให้จิตใจไม่สงบ และสร้างปัญหาตามมาในภายหลัง ยิ่งสุขมากก็จะยิ่งมีทุกข์มากตามมาเสมอ ส่วนความสงบมีแต่จะลดปัญหา ตลอดจนถ้าสงบอย่างถึงที่สุดแล้วก็จะไร้ปัญหาโดยสิ้นเชิง ดังนั้นความไม่มีทุกข์หรือความสงบจึงควรจัดเป็น ความสุขที่แท้จริงของมนุษย์และควรจัด เป็นสิ่งสูงสุดสำหรับมนุษย์ทุกคนด้วย

 ชีวิตนี้มีมาเพื่อทำประโยชน์มนุษย์เรานี้เมื่อเกิดมาแล้วก็ควรที่จะทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่เพื่อนร่วมโลกบ้างเพื่อจะได้มีความภาคภูมิใจในชีวิต อันจะทำให้รู้สึกว่าตนเองก็มีคุณค่าเหมือนกัน ซึ่งความภาคภูมิใจนี้ย่อมที่จะทำให้มีความสุขใจที่หาได้ยากในสังคมของคนที่เห็นแก่ตัวสมัยนี้ การทำประโยชน์แก่โลกนั้นใครๆก็ทำได้ด้วยการทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้องด้วยความขยันซื่อสัตย์ ซึ่งเพียงเท่านี้ก็นับว่าเป็นความดีขั้นพื้นฐานของคนเราแล้ว เพราะถ้าเราทำหน้าที่ของเราให้ถูกต้องแล้วก็ย่อมที่จะไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน อีกทั้งยังจะทำให้ผู้อื่นมีความสุขอีกด้วย โลกจะมีแต่ความสุขสงบถ้าเราทุกคนทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้อง ส่วนคนที่ไม่ทำหน้าที่ของตนเองให้ถูกต้องก็จัดว่าเป็นเสนียดของสังคมเพราะนอกจากจะทำให้ตนเองมีปัญหาแล้วยังจะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนอีกด้วย การไม่ทำหน้าที่ให้ถูกต้องจึงจัดว่าเป็นความชั่วขั้นพื้นฐานของคนเรา การใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์อย่างสูงสุดนั้นท่านผู้รู้ได้วางหลักในการดำเนินชีวิตเอาไว้ตามช่วงอายุของเรา คือช่วงอายุน้อยก็ทำหน้าที่เรียนรู้วิชาการและอาชีพ หรือแสวงหาความรู้ให้มากที่สุด เมื่อโตขึ้นจนบรรลุนิติภาวะและมีงานทำแล้วก็เป็นช่วงของการมีครอบครัว สร้างฐานะให้มั่นคงเข้มแข็ง เมื่ออายุมากขึ้น ลูกหลานมีความมั่นคงในชีวิตแล้ว เราก็ต้องแสวงหาความหลุดพ้นให้แก่ตนเอง เพื่อให้ชีวิตที่แก่ชราจะได้ไม่มีความทุกข์ใดๆรวมทั้งเพื่อเตรียมพร้อมที่จะตายอย่างสงบไม่เป็นทุกข์ และเมื่อตนเองพบกับความพ้นทุกข์แล้วก็ต้องช่วยเหลือผู้อื่นให้ได้สิ่งที่เป็นสาระแก่ชีวิตบ้าง ซึ่งก็คือการเผยแพร่ความรู้อันจะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ รวมทั้งการเสียสละทรัพย์หรือสิ่งของที่จะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนร่วมโลกบ้าง หลักการนี้ดูจะเป็นหลักสากลคือเมื่อเป็นเด็กก็แสวงหาความรู้ เมื่อโตขึ้นก็สร้างฐานะมีครอบครัว เมื่อมีอายุมากหรือเริ่มแก่เฒ่าก็แสวงหาความสงบสุขให้แก่จิตใจ และเมื่อมีความสงบสุขแล้วก็เสียสละเพื่อส่วนรวมหรือช่วยให้แก่เพื่อนมนุษย์มีดวงตาเห็นแจ้งในความจริงของชีวิต

ซึ่งนี่จะเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบของมนุษย์ที่ดูจะหาได้ยากในสังคมปัจจุบัน เพราะผู้คนสมัยนี้ส่วนใหญ่เมื่อเป็นเด็กก็มักจะชอบความสนุกสนานเฮฮาและไม่ชอบการเรียนรู้ อีกทั้งยังชอบที่จะมีคู่ตั้งแต่อายุยังน้อย พอโตขึ้นมีงานทำก็มักจะไม่ชอบสร้างฐานะ แต่ชอบเที่ยวเตร่เฮฮา แม้จะมีอายุมากขึ้นก็ยังไม่หยุด ยังชอบความสนุกสนานเฮฮา ไม่ชอบความสงบสุข ไม่อยากหลุดพ้น และไม่ต้องพูดถึงการช่วยเหลือผู้อื่น เพราะยังคงมีความเห็นแก่ตัวอยู่จึงไม่คิดที่จะช่วยเหลือใครๆ ซึ่งการมีชีวิตเช่นนี้จัดว่าเป็นการใช้ชีวิตที่ไร้คุณค่า หรือเกิดมาเสียชาติเกิด ไม่ได้สร้างความดีงามอะไรไว้เป็นสิ่งให้คนรุ่นหลังได้ระลึกถึงหรือเอาเป็นตัวอย่างบ้างเลย ชีวิตที่เกิดมาแสวงหาแต่ผลประโยชน์ให้แก่ตนเอง หรือแสวงหาแต่ความสุขสนุกสนานเฮฮานั้นเขาย่อมที่จะไม่ได้รับประโยชน์จากการเกิดมาเป็นมนุษย์ เขาเกิดมาเพียงเพื่อแสวงหาความสุขสนุกสนานแล้วก็ตายไปโดยไม่ได้ทำอะไรที่จะเกิดประโยชน์แก่เพื่อนร่วมโลกบ้างเลย ชีวิตของเขาจึงดูไร้ค่าเมื่อเทียบกับต้นไม้เล็กๆที่เราอาจดูว่าไม่มีประโยชน์อะไรแก่ใคร ซึ่งจริงแล้วแม้จะเป็นเพียงต้นไม้เล็กๆหรือต้นหญ้าเล็กๆต้นหนึ่งมันก็ยังมีประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก เพราะต้นไม้เล็กๆหรือต้นหญ้าเล็กๆนี้มันก็ยังช่วยสร้างออกซิเจนให้แก่โลก แม้จะเล็กน้อยก็ตาม แต่เพราะต้นไม้ต้นหญ้าทั้งหลายบนโลกนี้ได้ช่วยกันสร้างออกซิเจนให้แก่โลก จึงทำให้มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายได้มีอากาศที่บริสุทธิ์ไว้หายใจ ถ้าไม่มีต้นไม้ต้นหญ้าเหล่านี้ชีวิตของเราทั้งหลายก็คงไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้หรือมีชีวิตอยู่ได้ เมื้อแม้ต้นไม้ต้นหญ้าก็ยังทำประโยชน์แก่โลก แล้วเราที่เป็นมนุษย์มีลักษณะทางกายภาพที่เหนือกว่าพืชและสัตว์ทั้งหลายอย่างมากมายจะไม่ทำอะไรที่จะเป็นประโยชน์ต่อโลกบ้างเลยหรือ? ถ้าเรายังไม่ทำอะไรที่จะเป็นประโยชน์ต่อโลกบ้าง เราก็จะอายต้นไม้เล็กๆหรือต้นหญ้าสักต้นที่ยังมีประโยชน์ต่อโลก

ชีวิตที่มีคุณค่าหรือมีสาระจึงเป็นชีวิตที่ทำประโยชน์แก่โลก ส่วนชีวิตที่ทำร้ายโลก หรือเบียดเบียนพืช เบียดเบียนสัตว์และเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ด้วยกันโดยไม่ได้ช่วยเหลืออะไรแก่โลกเลยนั้นจึงเป็นชีวิตที่ไร้คุณค่า ไร้สาระ และน่าเกลียดชังเหมือนเหลือบยุงที่คอยสูบเลือดผู้อื่นเพื่อให้ตนเองอยู่รอด

จึงเป็นสิ่งที่เราทั้งหลายควรพิจารณาตัวเองว่าเราได้ทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อโลก หรือต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันมากน้อยเพียงใด หรือไม่เคยแม้จะได้ช่วยอะไรแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันเลย ถ้าเป็นดังนี้ก็เรียกว่าเรายังทำตัวไร้ค่า ไม่สมกับเกิดมาเป็นมนุษย์ที่มีมันสมอง มีความคิด เรายังเป็นส่วนเกินของสังคมของคนดี แต่ถ้าเราจะรู้จักทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อโลกบ้างแม้เพียงเล็กน้อย ด้วยการทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้อง เ ราก็จะชื่อว่าเป็นคนที่มีคุณค่า มีความภาคภูมิใจที่เกิดมา ไม่อายใคร และยิ่งถ้าเราจะได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ได้ช่วยเหลือสัตว์ ช่วยเหลือต้นไม้พืชพันธุ์ทั้งหลาย และช่วยรักษาธรรมชาติให้คงอยู่ต่อไปดังนี้แล้ว เราก็จะเป็นคนที่มีคุณค่ายิ่งขึ้น มีความสมบูรณ์สมกับเป็นมนุษย์ที่มีความคิด และย่อมที่จะได้รับสิ่งที่มีค่ายิ่งสำหรับมนุษย์เป็นสิ่งตอบแทน.   

หมายเลขบันทึก: 105931เขียนเมื่อ 24 มิถุนายน 2007 15:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 19:10 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

ขอบคุณครับ กระทู้ของคุณ ทำให้ผมได้เห็นความสุขในชีวิต ผมจะทำตัวให้เป็นประโยชน์แก่สังคม จะทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด จะตอบแทนพระคุณพ่อแม่ และ ผ้มีพระคุณ บุญคุณต้องทดแทน

สวัสดีครับคุณธนัท

ดีครับหากเราเกิดมาแล้วรู้เป้าหมายชีวิตของเราจะมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น..สาธุ

ผมอยากมีชีวิตที่ ช่วยเหลือสังคม แต่ตอนนี้กำลังช่วยตัวเองให้รอดในสังคมอยู่ครับ และเวลานี้ หนทางยังอีกยาวไกล เวลาผมก็เดินไปเรื่อยๆ แล้วผมก็คงจะแก่ตัว คนไม่มีแรงจะเดิน ผมมองไปมีแต่ความว่างเปล่า แล้วเวลานี้ หนทางผมคงถึงนาทีสุดท้ายแล้ว แล้วลมหายใจผมคงไม่ได้ใช้ออกซิเจนแล้วซิ พบกันในภพ โลกหน้า ถ้ามีจริง พ่อ แม่ และวิญญาณที่ผูกพันธ์ ขอพ่อแม่จงมีความสุข สงบในภพหน้า ...........เรากำลังคิดถึงคุณของพ่อและแม่ของเราเองอยู่นะ คิดถึงจังแม้ท่านไม่อยู่ตอนนี้ ท่านอยู่ในภพของท่านแล้ว วิญญาณท่านจงสู่ นิพาน ...นิรันดร์...สงบ เทอน......

ถ้าอยากช่วยโลกนะ ขออย่างเดียว อย่าทำลายธรรมชาติ เพื่อโลกและตัวคุณเอง

การทำลายธรรมชาติคือทำทุกอย่างที่ไม่เป็นธรรมชาติ แม้กระทั่งทำงานรับเงินเดือนที่ทุกคนเป็นอยู่ด้วย

ขอบคุณสำหรับกระทู้ดีๆ ทำไมดิฉันถึงอยากไปจากที่นี่ไปจากโลกนี้ไปสู่ที่ที่ดีกว่านี้

ที่ที่ไม่มีใครีท่ที่อยู่คนเดียวตลอดไป ที่ที่ไม่ใช่สังคมเดียวนี้

อยากไปเกิดสมัยพุทธกาลอยากฟังเนื้อธรรมแท้ๆอยากหาคำตอบให้ชีวิตของตัวเอง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท