วันศุกร์ที่ผ่านมา ได้ดูการแสดงดนตรีและหุ่นละครเล็กคณะโจหลุยส์ ที่จัดโดยชมรมดนตรีไทย คณะแพทย์ เพื่อเทิดพระเกียรติในหลวง และหาเงินสนับสนุนช่วยเหลือผู้ป่วยจากเหตุการณ์ ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องบอกว่าเป็นรายการที่หมายตามาตั้งแต่ทราบข่าว ไม่ยอมพลาดเด็ดขาด
มองในภาพรวมของการแสดง ทำให้รู้สึกว่า ห้องประชุมทองจันทร์จำนวน ๕๐๐ ที่นั่งกับเวทีการแสดงขนาดนี้ ดูเล็กไปเสียแล้ว..สำหรับการแสดงระดับนี้
ผมเห็นความสามัคคีของคนทุกระดับ ทั้งอาจารย์ บุคลากร นักศึกษา ไม่ใช่เฉพาะคณะแพทย์ แต่จากต่างคณะ ต่างสถาบัน ก็มาช่วยกัน ร่วมงานกันอย่างมีพลัง หนึ่งในนั้นมีอาจารย์สกล นกไฟของ G2K ไปเล่นระนาดเอกด้วย
สำหรับการแสดง ผมถูกใจทุกรายการตลอด ๔ ชม. ทั้งการแสดงดนตรี ไทยประยุกต์ และ ไทยเดิม รวมถึงหุ่นละครเล็ก ซึ่งเห็นแต่ในข่าวหรือสารคดี รู้มุขของเขามาบ้างแล้ว แต่พอมาเห็นของจริง ก็สนุกสนานเพลิดเพลิน ทึ่งในความสามารถของคนหนุ่มคนสาวที่ยังเห็นคุณค่าของมรดกไทยแบบนี้
แต่สิ่งที่ผมอยากจะพูดถึงในรายละเอียด รายการที่ผมประทับใจที่สุด อาจจะเรียกได้ว่าเป็น ไฮไลท์ ส่วนตัวของผมก็ได้ ซึ่งอาจไม่เหมือนของคนอื่นนะครับ คือ การขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ ความฝันอันสูงสุด โดย รศ พญ พรรณทิพย์ ฉายากุล
ผมเรียนให้อาจารย์ทราบ เมื่อพบกับอาจารย์หลังการแสดงว่า ผมถึงกับน้ำตาซึมเลยครับ เสียงร้องของอาจารย์ทำให้ผมตั้งใจฟังเนื้อเพลง และมีอารมณ์ร่วมไปกับการนำเสนอทั้งหมด
เสียงร้อง
ปกติเพลงพระราชนิพนธ์เพลงนี้ เราจะเคยชินกับเสียงผู้ชายห้าวๆ หรือไม่ก็นักร้องแบบเรียกพลังปลุกใจ แต่ถ้าในวันนั้น เราได้นักร้องอาชีพมาร้อง ผมเองคงไม่ประทับใจแน่ เสียงของอาจารย์พรรณทิพย์ไพเราะได้จังหวะ ไม่หลงไม่แปร่ง แต่เป็นเสียงผู้หญิง ไม่ได้แสดงถึงความเข้มแข็ง ปลุกใจ แถมเจือปนด้วยความประหม่าเล็กๆด้วยซ้ำ และนี่คือเสน่ห์สำคัญครับ มันเหมือนการแสดงความรู้สึกของผู้หญิง คนธรรมดาคนหนึ่ง เป็นความรู้สึกที่เราทุกคนมีได้ ความรู้สึกที่อยากจะถ่ายทอดออกมา ความรู้สึกตามเนื้อเพลงนั้น ไม่ได้ต้องการไปปลุกใจใคร
เนื้อเพลง
พอเริ่มรับฟัง ความรู้สึกนั้นกระทบใจผมมาก ฟังเนื้อเพลงอย่างตั้งใจอย่างไม่เคยทำมาก่อน ถึงจะเคยฟังมาหลายครั้ง
ในช่วงเวลาที่บ้านเมืองของเราสับสนวุ่นวายอย่างในขณะนี้ ภาคใต้แทบจะลุกเป็นไฟ
ขอทนทุกข์ รุกโรมโหมกายใจ ขอฝ่าฟันผองภัย ด้วยใจทะนง
ในช่วงเวลาที่ผมกำลังสับสนกับตัวตน กับทางเลือกที่ต้องตัดสินใจ
ไม่ท้อถอย คอยสร้างสิ่งที่ควร ไม่เรรวน พะว้าพะวังคิดกังขัง
ไม่เคืองแค้น น้อยใจในโชคชะตา ไม่เสียดายชีวา ถ้าสิ้นไป
การนำเสนอ
ระหว่างที่ตั้งใจฟังเนื้อร้อง สายตาก็มองภาพประกอบบนจอ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาพพระราชกรณียกิจของในหลวง จนกระทั่งมาถึงภาพๆหนึ่งที่ทำให้ผมน้ำตาซึม
เป็นภาพในหลวง พระมหากษัตริย์ของทุกคน กำลังก้มพระเศียรของพระองค์ให้กับบุคคลคนหนึ่ง
ใครนะ คือบุคคลผู้นั้น
ครับ สมเด็จพระบรมราชชนนี แม่ของพระองค์นั่นเอง
คงไม่ต้องบรรยายต่อนะครับ
กราบขอบพระคุณ ท่านอาจารย์พรรณทิพย์ นักดนตรี และผู้เกี่ยวข้องทุกคน ที่ถ่ายทอดทุกอย่างออกมาได้อย่างงดงาม ประทับใจ
โลกมนุษย์ย่อมจะดีกว่านี้แน่ เพราะมีผู้ไม่ยอมแพ้ แม้ถูกหยัน....
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
แสนเสียดายอย่างยิ่งที่ไม่ได้ไปดู แต่ก็ซื้อบัตรให้แม่ตัวเอง พ่อตาและแม่ยายดู (ภรรยาอด เพราะต้องดูลูกที่บ้าน ขืนพาตัวเล็กไปด้วย คนคงด่า)
ก่อนมาเรียนที่สิงคโปร์ ก็มีคนมาชวนว่าให้มาร่วมเล่นดนตรีในงานนี้ด้วยครับ (ไม่รู้จะให้เล่นอะไร สงสัยตีฉิ่ง หรือเคาะจังหวะกระมัง) น่าเสียดายเข้าไปใหญ่เลยใช่ไหมครับอาจารย์
แค่ที่อาจารย์เล่ามาแล้วบอกว่า ดูแล้วถึงกับน้ำตาซึม งั้นผมคงยิ่งกว่า เพราะอ่านที่อาจารย์เขียนแล้วน้ำตาซึมเหมือนกัน
เสียดายจริงๆ
สวัสดีค่ะ คุณหมอ
ตามมายืนยันด้วยคนค่ะ ว่าเป็น 4 ชั่วโมง ที่คุ้มค่าและประทับใจมากค่ะ
ที่สำคัญทึ่งในความสามัคคี ของทุก ๆ ท่านที่เกี่ยวข้องทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง มากเลยค่ะ
ฟังทั้งอาจารย์เต็มและคุณรัตติยา รู้สึกเสียดายมากๆ ที่ไม่ได้ไปงาน ขอบคุณค่ะที่นำมาถ่ายทอดได้อย่างซาบซึ้ง
ผมได้ฟังทั้งหมดประมาณ 6 เที่ยวได้ (รวมซ้อม และนั่งอยู่ทุกรอบ)
เป็นประสบการณ์ที่ต้อง "รู้สึก" โดยไม่ต้องคิดอะไร ปล่อยให้ผิวหนัง สายตา โสตประสาท กลิ่น รับรู้สุนทรียรส สัมผัสการถ่ายทอดของศิลปินสมัครเล่น ที่ประจงซ้อม ประจงเล่น บรรเลง ประจงขับขาน ให้หัวใจได้สื่อสารเนื้อหาออกมา
รู้สึก "รักคณะแพทย์" ขึ้นเยอะ รักในหลวงยิ่งมากขึ้นไปอีก และรักมวลมนุษย์ครับ
อาจารย์แป๊ะ ครับ
ครับ
ครับ