การดำเนินชีวิตของคนเรานั้นมันก็มีทั้งทุกข์ทั้งสุขผสมคลุกเคล้ากันไป ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องธรรมด๊า ธรรมดาใช่ไหมครับ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการประกอบอาชีพก็เช่นกันก็คงไม่ได้ราบรื่นเสมอไป การทำเกษตรกรรมแบบประณีตก็เช่นกันนะครับ ถึงจะมีการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาก็ไม่วายที่จะต้องเจอกับปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย ครั้นจัดการในเรื่องของกระบวนการผลิตได้ก็มาพบกับปัญหาด้านการตลาด....ซึ่งไม่มีวันสิ้นสุดเอาเสียจริงๆ
แต่นั่นมันก็เป็นวัฎจักรของของสินค้าเกษตรที่มีให้เห็นอยู่เป็นลำดับกับการเป็นประเทศไทย มันมีขึ้นมีลงเป็นของธรรมดา หรือหากจะมองแบบนักเศรษฐศาสตร์ก็จะบอกว่ามันขึ้นกับ อุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) สิ่งต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นก็ต้องยอมให้มันเป็นไปใช่ไหมครับ แม้กระทั่งคนที่กำลังศึกษาเรื่องของการทำเกษตรกรรมแบบประณีตอยู่ในเวลานี้ก็ยังไม่แน่ใจตนเองเหมือนว่าเดินมาถูกทางหรือยัง แต่ก็จะพยายามต่อไป
เกษตรประณีตยังไม่จบแต่คนที่ศึกษาจะจบชีวิตเสียก่อน...คงเป็นบทเรียนครั้งสำคัญสำหรับตนเองในการที่จะขับรถ และการเดินทาง เนื่องจากในช่วงเดือนที่ผ่านมาผมได้เดินทางไปศึกษา ณ มหาชีวาลัยอีสาน และเก็บข้อมูลการทำเกษตรกรรมแบบประณีตในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ และเมื่อคืนวันที่ 13 มิถุนายน 2550 ผมได้นั่งทำงานตนเอง และช่วยเพื่อนทั้งคืน ครั้นเมื่อถึงตอนตี 3 ของวันที่ 14 มิถุนายน 2550 ผมจึงออกเดินทางกลับบ้านที่จังหวัดอุบลราชธานี โดยที่ยังไม่ได้นอนพักผ่อนเลย ในขณะที่ขับรถมาถึงอำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ รู้สึกว่าตนเองได้ง่วงนอนนิดๆ ครั้นจะจอดนอนก็เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย จึงตัดสินใจขับไปต่อเพื่อว่าจะไปจอดพักที่ปั๊มน้ำมัน ปตท. อ.รัตนบุรี ซึ่งมีระยะทางเพียง 20 กม. และกะว่าจะพักนอนสักงีบหนึ่งแล้วจึงจะเดินทางต่อ
ครั้นขับรถมาถึงหน้าโรงเรียนบ้านน้ำเขียว ตำบลน้ำเขียว อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ เวลา 04.50 น. (ทราบตอนหลัง) เกิดอาการหลับใน (หลับไปด้วยขับรถไปด้วย) ไม่มีสติในการประครองพวงมาลัยทำให้รถไปพุ่งชนเสาป้ายอยู่ขอบไหล่ทางยางระเบิด ตนเองตั้งสติได้จึงจับพวงมาลัยอย่างแน่น แล้วเลี้ยวซ้ายอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเบรคอย่างเต็มสตรีม ทำให้รถเสียหลักตวัดหมุนตัวกลับไปชนกับเสาไฟฟ้าแรงสูงบริเวณคนขับ ในที่สุดผมก็ควบคุมรถได้ รถจอดพร้อมกับอาการหายใจแน่นหน้าอกของผม เลือดไหลอาบบนใบหน้า หนังสือ และข้าวของ แตกกระจุยกระจายเต็มหน้ารถไปหมด
โดนกระแทกจากประตูหวิดตาย
เมื่อผมได้สติอีกครั้งจึงค่อยๆ ปีนออกจากรถด้วยอาการทุลักทุเล และมองไปที่หลวงปู่โตที่คุณสรพงษ์ ชาตรี ให้มาเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตั้งอยู่น่ารถไม่ยอมกระเด็นกระดอนไปไหนๆ กับสิ่งของอันอื่นๆเลย และเหรียญหลวงปู่โต กับหลวงปู่ทวดรุ่นเหยียบน้ำทะเลจืด ที่แขวนอยู่ที่คอออกมาอยู่นอกเสื้อ นี่เป็นเดชะบุญของผมแท้ๆ ที่ไม่เป็นอะไรมาก ไม่เช่นนั้นคนที่อยู่เบื้องหลังเสียใจแย่เลย
สภาพคนขับกับรถคู่ใจ
จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ประสานงานรถยก และลากไปซ่อมที่จังหวัดอุบลฯ ให้ตามคำร้องขอของผม ส่วนตัวผมได้ถูกดูแลตัวอย่างใกล้ชิดจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภอ.รัตนบุรี ซึ่งพาไปหาหมอเย็บไป 4 เข็มที่ใบหน้า ส่วนอื่นๆ บวบช้ำทั้งตัว และส่งขึ้นรถกลับบ้านอย่างปลอดภัย ซึ่งผมต้องขอขอบคุณร้อยเวร และพนักงานขับรถทั้ง 2 นาย ที่ดูแลเป็นอย่างดี ซึ่งผมจำชื่อไม่ได้เลยต้องขออภัยด้วย
จากบทเรียนราคาแพงตรงนี้จึงใคร่ขอฝากเตือนพี่น้องชาว Blog ทุกท่านครับว่าเวลาขับรถนั้นอย่าได้ประมาท ถ้าง่วงนอนอย่าฝืนครับ ให้จอดนอนทันที เพราะคนเรานั้นคงไม่โชคดีเสมอไป และไม่เช่นนั้นท่านจะเสียใจไปอีกนานเหมือนอย่างผมครับ
ขอบคุณครับ
อุทัย อันพิมพ์
16 มิ.ย. 50
ถ้าดูแลตัวเองมากกว่านี้ก็จะไม่เป็นแบบนี้ค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ พักผ่อนมาก ๆ นะค่ะจะได้มีเวลาคิดมาก ๆค่ะ
โชคดีค่ะที่ไม่เป็นอะไรมาก...ยังเคยนึกเป็นห่วงและคุยๆกันเกี่ยวกับเรื่องขับรถโดยไม่ได้พักในช่วงที่ อ.อุทัย พาพ่อครูบามาขอนแก่นเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งคราวนั้น อ.อุทัยก็ได้นอนพักค้างคืนก่อนเดินทางกลับ... โชคดีแล้วค่ะ ดูแลรักษาสุขภาพนะค่ะ ของให้แผลหายเร็วๆ กลับมาหล่อเหมือนเดิมนะค่ะ
รถยนต์ซ่อมได้ ...ครับ
ผมเองก็เคยเกิดอุบัติเหตุกับรถยนต์หลายครั้ง แต่ละครั้งก็ทบทวนได้ว่า สาเหตุมาจากการที่ผมเองประมาทมากเกินไป อุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดจากสาเหตุนี้
เรื่อง หลับใน ผมก็เกือยอยู่ครั้งหนึ่งบนถนนสายชัยภูมิ - ขอนแก่น ดวยความนอนไม่พอ แต่ยังขับรถต่อ ลักษณะแบบนี้ครับ
โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมากนะครับ เป็นอุทาหรณ์เตือนใจ เป็นบทเรียนที่ทำให้เราระวัง ไม่ประมาท มีสติ