องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization - ILO) ได้ออกรายงานชื่อว่า “ชั่วโมงการทำงานรอบโลก” หรือ Working Time around the World ได้จัดอันดับประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 3 ของประเทศที่มีผู้ที่ใช้แรงงานทำงานเกินเวลามากที่สุดในโลก คือ มากกว่า 46.7% ของผู้ใช้แรงงานในประเทศไทยทำงานมากกว่า 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (ทำงาน 6 วัน/สัปดาห์ วันละ 8 ชั่วโมง)
ยิ่งไปกว่านั้น รายงานของ ILO ยังระบุเพิ่มเติมอีกว่า สิทธิตามกฎหมายสำหรับผู้ใช้แรงงานในประเทศไทยในการลาหยุดพักผ่อนประจำปี (ทั้งนี้ เทียบกับประเทศกำลังพัฒนามากกว่า 50 ประเทศ ทั่วโลก) ยังถูกจัดอยู่ในอันดับที่ต่ำที่สุดในภูมิภาคเอเชียอีกด้วย คือประมาณ 10 วันต่อปี หรือน้อยกว่านั้น
จากรายงานของ ILO ได้รายงานว่าภาค Manufacturing ทั่วโลกมีชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยราว 35 และ 45 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่ของไทยเรานั้นมีชั่วโมงการทำงานโดยเฉลี่ยสูงกว่า 59 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
ตัวอย่างประเทศฝรั่งเศสมีกฎหมายอย่างชัดเจนว่า ชั่วโมงการทำงานโดยเฉลี่ยของผู้ใช้แรงงานจะต้องอยู่ที่ 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (ลดลงจากเดิม 39 ชั่วโมงต่อสัปดาห์) ซึ่งกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้มาแล้วตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ปี 2000 สำหรับสถานประกอบการที่มีผู้ใช้แรงงานมากกว่า 20 คนขึ้นไป อย่างไรก็ดี ประเทศฝรั่งเศสเองก็ยังมีข้อยกเว้นอีกหลายประการ ซึ่งจะมีผลบังคับเป็นกรณี ๆ ไป แต่โดยหลักการแล้วกฎหมายฝรั่งเศสจะกำหนดให้ผู้ใช้แรงงานต้องมีชั่วโมงทำงานไม่เกินกว่า 48 ต่อสัปดาห์ โดยถือเป็น Principle limit ของประเทศ และจากหลักการดังกล่าว วันอาทิตย์ ก็จะถือว่าเป็นวันหยุดที่ผู้คนในประเทศจะไม่ทำงานกัน (เหมือนกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก)
จากรายงานข้างต้น และข้อมูลดังกล่าว บอกอะไรให้เรารับทราบบ้าง... จากผลสำรวจจากโพลที่มีชื่อเสียงในหลาย ๆ สำนักของประเทศในรอบปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน เปิดเผยเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่าประชาชนคนไทยมีความสุขน้อยลง ซึ่งแน่นอนว่าการทำงานหนักมากกว่าค่าเฉลี่ยมาตรฐาน จะทำให้ผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่ต้องใช้ชีวิตในการทำงานมากขึ้น โดยส่งผลกระทบให้เขาเหล่านั้นมีเวลาพักผ่อน และเวลาส่วนตัวลดน้อยลงตามลำดับ อันจะนำมาซึ่งความเครียด ตลอดจนปัญหาสุขภาพ โดยส่งผลกระทบไปถึงต้นทุนการเสียสุขภาพกาย และสุขภาพใจสะสม
ที่แย่ไปกว่านั้น คือ ครอบครัวที่มีเด็ก ๆ ที่กำลังโตและอยู่ในวัยเรียน โดยเด็กเหล่านั้นต้องเติบโตในสภาพสังคมที่บีบคั้น ย่อมได้รับการดูแลเอาใจใส่จากผู้ปกครองน้อยลงไปด้วย พวกเขาอาจจะไปติดเกมส์ หรือหันเหชีวิตไปในวิถีทางอโคจรได้โดยง่าย ๆ และในที่สุดปัญหาเหล่านี้ก็จะกลายเป็นปัญหาสังคมที่หมักหมม และเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งการพัฒนาประเทศของเรา
ดังนั้น นี่คือปัญหาท้าท้ายของสังคมไทยในปัจจุบัน ซึ่งครอบครัว หรือผู้มีส่วนได้เสียต่าง ๆ ในสังคมต้องคิดและพิจารณากันอย่างถ้วนถี่ว่า ถึงเวลาหรือยังที่ประเทศของเราต้องมีกฎหมายควบคุมเวลาการทำงานอย่างชัดเจน และเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
ทุกวันนี้ คนไทยเราอาจจะมุ่งความสนใจไปที่อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ สภาพเศรษฐกิจ มากกว่าประเด็นด้านสังคม ซึ่งสื่อในประเทศไทยเราก็ให้ความสำคัญกับประเด็นทางเศรษฐกิจมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างที่เรา ๆ ท่าน ๆ เห็นกันอย่างชินตาทางหน้าหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ นั่นก็คือ การคาดการณ์ทางเศรษฐกิจจากหลากหลายสำนัก ในขณะที่ประเด็นด้านสังคมกำลังถูกลดความสำคัญลงไป
ความคิดเห็นของท่านผู้อ่านทุกท่านจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการรับรู้ถึงความเห็นคิด ทัศนคติ และจุดยืนของสังคมไทย.. ช่วยแสดงความคิดเห็นด้วยนะครับ
13 มิถุนายน 2550
** ข้อมูลทางสถิติอ้างอิงจาก www.nationalmultimedia.com และ www.triplet.com
เราควรจะบริหารเวลาให้เกิดสมดุลในชีวิต ทั้งในการทำงานและเวลาในครอบครัว ซึ่งทำได้ยาก แต่หากเราตั้งใจจริงก็ทำได้นะ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมทั้งเพื่อบุคคลอันเป็นที่รักที่อยู่รอบตัวด้วย เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป เพราะนาฬิกาชีวิตเดินไปทุกขณะ ผ่านไปไม่อาจย้อนเวลาคืนกลับมาได้ อย่าบอกว่ายากหรือไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่มีอะไรที่ยากเกินความสามารถของมนุษย์เราหรอกนะ ไม่งั้นจะมีคนไปเหยียบดวงจันทร์ได้เหรอ บทเรียนสำคัญที่เราจะไม่มีวันลืมจนชั่วชีวิต คือ อยากบอกว่าเสียใจที่คุณยายจากไปโดยไม่หวนกลับ แต่ที่เสียใจที่สุดก็คือไม่มีโอกาสได้ไปดูใจท่านเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งที่รู้ว่าอยู่โรงพยาบาลไหน ความรู้สึกตอนนั้นคือไม่เป็นไร แม่กับพี่สาวไปเยี่ยมแล้วไว้โทรถามพวกเขาก็ได้ เราต้องทำงานให้เสร็จ วันเสาร์-อาทิตย์ก็ไม่ละเว้น นั่นเป็นข้ออ้างมากกว่าเพราะความเห็นแก่ตัวของเราเอง... จนอาทิตย์ต่อมาวันพฤหัสตอนบ่ายเราก็มีปากเสียงกับหัวหน้า ที่บอกให้เรามาทำงานวันเสาร์อีก แต่เราบอกว่าเราจะไปเยี่ยมคุณยาย อาการเป็นตายเท่ากัน หัวหน้าก็เคืองว่าเราไปแช่งท่าน แต่จริงๆมันคือลางสังหรณ์บอกเราว่านาฬิกาชีวิตของท่านกำลังจะหยุดเดินแล้ว วันศุกร์ตอนบ่ายแม่โทรมาบอกว่าคุณยายเสียแล้วจริงๆ...
สุดท้ายนี้ อยากจะบอกว่าให้เวลากับคนที่รักเราและคนที่เรารักสักนิด ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะสายเกินไป