สมองถูกหลอกได้ง่ายที่สุด


ความจริงชื่อบันทึกนี้ก็ไม่ถูกต้อง เพราะการหลอกกันนั้น เกิดขึ้นที่สมองทั้งสิ้น ไม่มีใครบังคับให้ใครเชื่อได้ ความเชื่อเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่ละเมิดไม่ได้

ดูรูปข้างบนนี้ท่านผู้อ่านก็เข้าใจมุกอยู่แล้ว ว่าวงกลมสีดำตรงกลาง มีขนาดเท่ากัน แต่ทั้งๆ ที่รู้ ดูยังไงก็ไม่รู้สึกอย่างนั้น; ในเมื่อข้อพิสูจน์วางอยู่ตรงหน้านี้แล้ว แล้วยังจะดึงดันยึดถือความคิดของเราเป็นใหญ่อยู่ทำไมครับ

การใช้สมองคิด จึงต้องระมัดระวังให้มาก หาประเด็นให้เจอว่าคำถาม/ต้นเหตุคืออะไร; การเป็นคนมีเหตุผลเป็นการใช้สมองซีกซ้าย แม้จะได้รับการยกย่องโดยทั่วไปในสังคมสมัยใหม่ แต่ในกรณีนี้ เราคิดแค่ครึ่งเดียวของความสามารถที่มี ยังมีสมองอีกครึ่งหนึ่งซึ่งสามารถช่วยให้การตัดสินใจก่อประโยชน์มากขึ้นได้

สมองตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอก  มีแนวโน้มที่จะแสดงปฏิกริยาที่ควบคุมผู้อื่นให้ทำตามที่เราเห็นว่าสมควร -- สังเกตดูอาการแบบนี้ได้ว่ามักจะมีความหมายของคำว่า "ต้อง" กำกับอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะพูดคำนี้ออกมาหรือไม่; สมองพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ร่างกาย (และสมอง) คงอยู่ได้ ตามทฤษฎีความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ของ Maslow เมื่อไม่ระมัดระวัง ก็จะนำไปสู่ความโลภ ที่จะเอาชนะ ที่จะครอบครอง เพื่อกักตุนไว้ใช้ในยามแก่เฒ่าที่ตนไม่อยู่ในสภาพที่จะหาเลี้ยงตัวเองได้

เงื่อนไขของความสงบสุข ในมุมที่ทุกคนตอบสนองต่อความคิดในสมองของเรา (และเราก็ตอบสนองต่อความคิดของคนอื่นเช่นกัน) ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้นอกจากทำให้ทุกคนเป็นเหมือนกันไปหมด -- ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน เพราะว่าคนมีความแตกต่างกัน ดังนั้นเมื่อโลกก้าวหน้าขึ้นทางวิทยาการจากการพัฒนาพลังความคิดของสมอง ความสุขไม่ได้เพิ่มตามขึ้นเลย

ยังมีการมองเรื่องราวอีกแบบหนึ่ง คือสัมผัสด้วยใจ มองภาพเป็นองค์รวม มองสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง แล้วแก้ที่เหตุ-ไม่ใช่ "แก้ปัญหา" ที่เป็นปลายทางของเหตุอันไม่ถูกต้อง

จิตใจของท่าน มีแต่ท่านเท่านั้นที่สามารถจะควบคุมได้ การกระทำเป็นผลมาจากใจ ทั้งความดี-ความชั่วร้าย ทั้ง Moral Quotient/Emotional Intelligence Quotient/Adversity Quotient/Intelligence Quotient/Creativity Quotient ทั้งความสุข-ความทุกข์ ทั้งชอบ และไม่ชอบ [ธรรมคุ้มครองโลก]

ใจของท่านไม่ต้องพยายามที่จะสื่อสารหรอกครับ ข้อความมันออกมาเอง จึงเรียกว่า "จากใจ" เพราะมันออกมาจากใจครับ ไม่ต้องเค้น ไม่ต้องคั้น ไม่ต้องกลั่น มันไหลได้เองเหมือนแม่น้ำ

  • สิ่งที่รับรู้มา บางทีก็เชื่อไม่ได้
  • แม้ว่าสมองและความรู้สึกจะบอกว่าเป็นอย่างนั้น ข้อเท็จจริงกลับอาจเป็นอีกอย่างหนึ่ง
  • แม้ข้อเท็จจริงปรากฏเป็นอย่างนั้น บางทีต้นเหตุอาจเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
  • ถ้าแก้ปัญหาไม่ตรงเหตุ ปัญหาเก่าก็เกิดขึ้นได้อีก และอาจมีปัญหาใหม่เกิดตามมาอีกด้วย -- โดนสองเด้ง สนุกสนาน
  • We can’t solve problems by using the same kind of thinking we used when we created them. – Albert Einstein
  • การที่อยากให้ใครๆ เหมือนเราเป็นการป้องกันความขัดแย้ง  แต่ในขณะเดียวกันก็กลับนำไปสู่ความขัดแย้ง
  • ส่วนในการหลอกกันสนิทที่สุดนั้น มักจะเป็นการหลอกตัวเอง
  • ความสุขไม่ได้เกิดจากการทำงานของสมอง แต่เกิดในใจเท่านั้น
  • [สัปปุริสธรรม ธรรมของสัตบุรุษ, ธรรมของคนดี]
{แก้ไข: เพิ่มคำสำคัญ}
หมายเลขบันทึก: 102376เขียนเมื่อ 11 มิถุนายน 2007 03:15 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 23:57 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

ดิฉันบอกตัวเองเสมอค่ะ ว่าคิดจะแก้อะไร ให้เริ่มแก้ที่ตัวเองหรือเริ่มจากตัวเองก่อนค่ะ...

ส่วนใหญ่แล้ว ความทุกข์เกิดจากความคิดและการกระทำของเราเกือบทั้งนั้นเลยค่ะ ดังนั้นถ้าปัญหาเกิดจากเราคิดให้มันเป็นปัญหา ก็ต้องแก้ที่ความคิดของเราว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา เป็นเรื่องปรกติที่เกิดขึ้นทั้งนั้น ตามธรรมชาติของสรรพสิ่งค่ะ..

สวัสดีค่ะคุณ Conductor

เบิร์ดเป็นประเภท " ไม่ว่าจะไปที่ไหน..ให้ไปตามหัวใจของตัวเอง " น่ะค่ะ..ก็เลยเห็นด้วยอย่างที่สุดว่า

ยังมีการมองเรื่องราวอีกแบบหนึ่ง คือสัมผัสด้วยใจ มองภาพเป็นองค์รวม มองสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง แล้วแก้ที่เหตุ-ไม่ใช่ "แก้ปัญหา" ที่เป็นปลายทางของเหตุอันไม่ถูกต้อง

จิตใจของท่าน มีแต่ท่านเท่านั้นที่สามารถจะควบคุมได้ การกระทำเป็นผลมาจากใจ ทั้งความดี-ความชั่วร้าย ทั้ง MQ/EQ/AQ/IQ ทั้งความสุข-ความทุกข์ ทั้งชอบ และไม่ชอบ..

...ทุกอย่างล้วนเกิดจากใจ.... และดับที่ใจ...

ขอบคุณมากค่ะสำหรับบันทึกดีๆบันทึกนี้

โลกทัศน์ของคน มองออกไปข้างนอกเสมอครับ เรารับรู้ความเป็นไปของโลกผ่านสัมผัสทั้งหก

แต่บางทีโลกทัศน์ของมนุษย์ (มนะ+อุษยะ = จิตใจ+สูง) ควรมองย้อนกลับเข้าไปในจิตใจของตนจนเข้าใจ ปรับปรุงจนเข้าถึงแก่นของคุณค่าของมนุษย์และโลก กระทำตนให้มีประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่นนะครับ

  • เข้าทำนอง
  • ที่เห็นกับความเป็นจริงไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
  • หรือเปล่าครับ

ทุกสิ่งทุกอย่างควรจะพิจารณาก่อน รวมถึงบันทึกนี้ด้วยนะครับ: ความถูกต้องคืออะไร ความจริงคืออะไร (ความถูกต้องและความจริงหมายถึงอะไร)

สวัสดีค่ะP

สมองของคนเราที่อยู่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิดจนตายยังมีความลึกลับและชวนให้ค้นหาอีกมากนะคะ ไปอ่านหนังสือเจอเรื่องสมอง อีกค่ะ

Harvard Business Review ในฉบับเดือนพฤศจิกายน 2550 ชื่อ Cognitive Fitness เขียนโดย Roderick Gilkey และ Clint Kilts

เราออกกำลังสมองได้ค่ะ

วิธีการคือ  ต้องหัดใช้สมองในการคิดสิ่งต่างๆ   เพื่อให้สมองได้ใช้งานอยู่ตลอดเวลา  ปัจจุบันวิทยาศาสตร์ก็พิสูจน์ให้เห็นได้จริงแล้ว

ถ้าสมองได้ออกกำลัง   ก็จะส่งผลต่อความสามารถและสติปัญญาของคนเราค่ะ

ความเชื่อในอดีตที่เรามักจะคิดว่า......

สมองจะเริ่มเสื่อมตามอายุ....

  แต่สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบปัจจุบัน ก็คือเซลล์ประสาทนั้นไม่ได้ตายไป หรือสูญสลายตามช่วงอายุของคนที่เพิ่มมากขึ้น แถมในขณะเดียวกัน เซลล์ประสาทในพื้นที่บางส่วนที่สำคัญของสมองเรากลับสามารถเพิ่มจำนวนได้มากขึ้นด้วย ซึ่งเขาเรียกปรากฏการณ์ดังกล่าวว่า เป็น Neurogenesis

 ความรู้ใหม่คือ.....ความสามารถของสมองเรากลับเป็นผลมาจากสิ่งที่เราเลือกที่จะทำ และจากประสบการณ์ของเรา

ตัวอย่างคือ......บรรดาปราชญ์ในสมัยโบราณ ไม่ว่าจะเป็นโซคราตีส เพลโต จนกระทั่งถึงกาลิเลโอ บุคคลต่างๆ เหล่านี้ ยังมีความสามารถทางปัญญาในระดับที่เรียกได้ว่า สุดยอดแม้ในวัยหกสิบเจ็ดสิบปี

รายละเอียด ยังมีอีกค่ะ ใครสนใจ ไปอ่านได้ค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท