วันนี้ 15 ก.พ. 2550ผมได้มีโอกาสเรียนรู้การสร้างและฝึกหัดการใช้Blog ร่วมกันเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ในการทำงานพัฒนา กับเพื่อนผู้ร่วมอุดมการณ์ ผมรู้สึกมีความตื่นเต้น เหมือนกับการได้ไปโรงเรียนวันแรก ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร มีใครรู้เห็นในสิ่งที่ผมทำอยู่
ประสบการใหม่ ความรู้ใหม่ กับโลกใหม่ สิ่งใหม่ๆเกิดขึ้นตลอดเวลาในห้องมีเพื่อนที่มาเรียนรู้การทำBlogกันมากมายมีความต่างทั้งอายุ หน้าที่การงาน
ขอบคุณปรมาจารย์ที่กรูณาชี้แนะศิษย์ผู้รู้น้อย คิดว่าจะพยายามเรียนรู้ให้เร็วและเข้ามาเขียนบันทึกบ่อยๆขอบคุณครับ
วิระ
ขอแสดงควายินดีกับประธานเครือข่ายออมทรัพย์หลังสวนคนใหม่ สาวมุ่งหวังว่างานพัฒนาจะไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ เพราะท่านเป็นประธานหนุ่มไฟแรงและอุดมการณ์เยี่ยม เป็นกำลังใจให้นะคะ
สาวเองคะ
สวัสดีครับผมยังอยู่ครับ
จากการทำงาน ผลสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ จะต้อง
ประกอบด้วย ความรู้ หรือ ความคิด 1
กำลัง หรือแรงงาน 1
ทรัพยากร หรือปัจจัย 1
เป็นอย่างน้อยความสำเร็จจึงจะเกิดขึ้น
เมื่อวันที่ 25 ธันวาคมที่ผ่านมาผมได้ไปร่วม เสวนาเรื่อง ทางเลือก การจัดการศึกษาในยุคโลกาภิวัฒน์ จัดข้นที่ โรงเรียนเอื้อพรคริดเตียน ซึ่งเป็นความร่วมมือหลายฝ่าย แต่หัวใจของงานอยู่ที่สาระการพูดคุยเป้าหมายของการศึกษาที่ไม่ได้เน้นการศึกษาที่เป็นธุรกิจ หรือการแข่งขัน แต่เน้นคุณภาพ และการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นสำคัญด้วยปรัชญาที่ว่า เมื่อจิตใจพร้อม ก็สามารถก่อให้เกิดการเรียนรู้ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด โรงเรียนจึงเป็นสะเหมือนบ้าน ในเวทีได้พูดถึงการศึกษาทางเลือก การเข้าใจชีวิต การเรียนรู้และนำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน การเรียนรู้การศึกษาที่ควรจะเป็น เข้าใจตัวเอง เข้าใจผู้อื่น การเชื่อมประสานกับสิ่งรอบข้าง เพื่อไม่ให้เกิดความเหงาท่าทกลางผู้คน ในยุคโลกาภิวัฒน์ (ยุคที่ดูถูกคุณค่าความเป็นมนุษย์) การอยู่รอดได้เราต้องรู้และเข้าใจทั้งระบบ
การจัดการความรู้ความรู้ในตัวคน การใช้ประโยชน์จากความรู้ ความรู้ในตัวคนมาจากหลายทาง แต่ความรู้ที่มีในคนทั้งหมดผมคิดว่าแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือความรู้ที่ได้รับมาและความรู้ที่เกิดขึ้นใหม่ ทั้งความรู้ที่ได้รับมาและความรู้ที่เกิดขึ้นใหม่เราได้ใช้ประโยชน์อะไรกับความรู้ที่มี ให้เกิดประโยชน์กับตัวเองและสังคมที่เราอาศัยอยู่ เราจะมีความรู้มากแค่ใหนไม่สำคัญ สำคัญที่เราใช้ประโยชน์จากความรู้นั้นมากน้อยแค่ใหน และสังคมได้ประโยชน์อะไรจากความรู้ของเรา
ความคิดใหม่ จากการบริหารองค์กรการเงินชาวบ้าน กลุ่มออมทรัพย์เหมืองงามจากที่ผ่านมาการบริหารเงินให้สมาชิกเอาไปใช้ต้องให้เพื่อนสมาชิกค้ำประกัน 2 คน มีทั้งข้อดี และข้อเสีย ข้อดี ลดความเสี่ยงของกลุ่ม แบ่งความรับผิดชอบของผู้นำเงินไปใช้ ที่สำคัญความมีศักดิ์ศรีของผู้นำเงินไปใช้ ข้อเสีย ถ้าผู้นำเงินไปใช้ทำผิดระเบียบจะทำให้ผู้ค้ำได้รับผลกระทบไปด้วยวึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาตามมาอีกหลายประการ ดังนั้น ความคิดใหม่ที่เกิดขึ้นก็คือ ผู้ที่จะนำเงินไปใช้ไม่ต้องให้เพื่อนสมาชิก 2 คนค้ำประกัน แต่ใช้วิธีค้ำประกันตัวเองนั่นก็คือเอาเท่าที่เงินหุ้นตัวเองมี แน่นอนหลายคนคิดว่า"นิ้วเองเข้าตาตัวเอง" จะดีได้อย่างไร ถ้าคิดให้ดีๆจะเห็นว่า เงินที่อยู่กับกลุ่มสมาชิกจะได้รับเงินปันผล แม้จะเอาเงินไปใช้ก็ยังได้รับเงินปันผลแถมกลุ่มยังมีสวัสดิการต่างๆให้อีก แต่ถ้าไม่เป็นสมาชิกกลุ่มต้องการใช้เงินต้องไปขอกู้เงินนายทุน โดยทั่วไปต้องเสียดอกเบี้ยรายเดือนทุกเดือน เมื่อครบกำหนดต้องส่งคืนทั้งต้นและดอกไม่เหลืออะไร เพื่อให้เข้าใจชัดเจน
ต้องการใช้เงิน 10,000 บาท ส่งคืน 10 เดือน
สมาชิกกลุ่ม ไม่เป็นสมาชิกกลุ่ม
กู้เงิน กลุ่ม 10,000 บาท กู้นายทุน 10,000 บาท
ส่งคืน ส่งคืน
เงินต้น ดอกเบี้ย 1 เงินต้น ดอกเบี้ย
1 1000 100 - 1000
2 1000 90 - 1000
3 1000 80 - 1000
4 1000 70 - 1000
5 1000 60 - 1000
6 1000 50 - 1000
7 1000 40 - 1000
8 1000 30 - 1000
9 1000 20 - 1000
10 1000 10 10,000 1000
รวม 10,000 550 10,000 10,000
รวมจ่ายทั้งหมด ถ้าเป็นสมาชิกกลุ่มต้องจ่ายทั้งหมด 10,550 บาท
รวมจ่ายทั้งหมด ถ้ากู้เงินนายทุน ต้องจ่ายทั้งหมด 20,000 บาท
รู้อย่างนี้แล้วจะทำอย่างไรดีลองคิดดู ?
สวัสดิการ มีการจัดสวัสดิการกันอยู่หลายรูปแบบหลายที่มีการจักสวัสดิการ หลายคนเรียกร้องสวัสดิการ ผมเห็นรูปแบบของสวัสดิการ อยู่หลายรูปแบบ แต่สวัสดิการที่เกี่ยวกับการศึกษา ถ้าบอกให้จัดสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาคุณจะทำอย่างไรจากที่ผมเห็นส่วนใหญ่จะมองที่ทุนการศึกษา เป็นตัวเงิน ทุนละเท่าใหร่ ถามว่าถ้าจะให้สวัสดิการการศึกษาแต่ไม่ให้เป็นเงินทุน คุณจะทำอย่างไร ผมลองตั้งคำถามนี้กับตัวเอง แล้วหาคำตอบว่าจะทำอย่างไร
สวัสดิการการศึกษา ให้โอกาสคนทั่วไปได้มีความรู้ ได้รับรู้ เข้าถึงความรู้ ได้รู้ ได้เห็นนี้คือสวัสดิการด้านการศึกษาผมคิดว่าถ้าให้ความรู้โดยที่ไม่ต้องให้ทุนการศึกษาที่เป็นตัวเงิน อันนี่ก็น่าจะเป็นสวัสดิการการศึกษาที่ดีเช่นกัน
สวัสดิการการศึกษา ถ้าไม่จ่ายเป็นเงินทุนการศึกษา จากความคิดใหม่ ผมได้เสนอความคิดเรื่องสวัสดิการการศึกษาที่ไม่ใช้เงินจ่ายเป็นทุนการศึกษา แต่เป็นการให้ความรู้ที่กว้างขวาง และทั่วถึง กับ ผ.อ.ศูนย์พัฒนาสังคมหน่วยที่ 11 จ.ชุมพร ผ.อ.สุลักขณา ชิ้นศุภร โดยเสนอโครงการการศึกษาผ่านดาวเทียมไว้บริการประชาชนที่ศูนย์หมู่บ้านเพื่อให้นักเรียน เยาวชน หรือผู้สนใจโดยทั่วไปได้มีโอกาสได้เรียนรู้ตามอัธยาศัย จากการนำเสนอ ข้อดี ข้อเสีย ความเป็นไปได้ ประโยชน์ที่ได้รับ โครงการนี้ก็ได้รับความเห็นชอบ และ ได้ดำเนินการติดตั้ง ให้บริการเรียบร้อยแล้ว ที่ ศูนย์บ้านในเหมือง หมู่ 10 ต.นาขา อ.หลังสวน จ.ชุมพร แล้วฝันก็เป็นจริง
วันแรกที่พวกเราเริ่มการเรียนในมหาวิทยาลัยนั้น อาจารย์ของเราได้เข้ามาแนะนำตัว และบอกให้พวกเราทำความรู้จักกับคนอื่นๆ ที่เราไม่รู้จักมาก่อน ผมยืนขึ้นแล้วมองไปรอบๆ และมีมือๆ หนึ่ง เอื้อมมาจับบ่าของผม ผมหันไปพบกับหญิงชราร่างเล็ก ผิวหนังเหี่ยวย่น ที่ส่งรอยยิ้มอันเป็นประกายมาให้ผม รอยยิ้มนั้นทำให้เธอดูสดใสอย่างยิ่ง หญิงชราคนนั้นกล่าวขึ้นว่า ' สวัสดี รูปหล่อ ฉันชื่อโรส อายุแปดสิบเจ็ดแล้ว มาให้ฉันกอดสักทีสิ ' ผมหัวเราะกับท่าทางของเธอ และตอบอย่างร่าเริงว่า ' แน่นอน ได้สิครับ ' แล้วเธอก็กอดผมอย่างแรง ผมถามเธอว่า ' ทำไมคุณถึงมาเรียนมหาวิทยาลัย เอาตอนที่อายุน้อยและไร้เดียงสาอย่างนี้ละ.. ' เธอตอบด้วยเสียงปนหัวเราะว่า ' ฉันมาหาสามีรวยๆ ที่ฉันจะได้แต่งงานด้วย แล้วมีลูกสักสองสามคน... ' ผมขัดจังหวะเธอ โดยถามว่า ' ไม่เอาครับ.. ถามจริงๆ ' ผมสงสัยจริงๆ ว่า อะไรทำให้เธอมาเรียนที่นี่ตอนที่อายุขนาดนี้ และเธอตอบว่า ' ฉันฝันมานานแล้ว ว่าฉันจะได้ปริญญา และตอนนี้ ฉันก็กำลังจะได้ปริญญาที่ฉันฝัน ' หลังเลิกเรียนวิชานั้น เราเดินไปที่อาคารสโมสรนักศึกษาด้วยกัน และนั่งกินชอคโกแลตปั่นด้วยกัน เรากลายเป็นเพื่อนกันในทันที ตลอดสามเดือนหลังจากนั้น เราจะออกจากชั้นเรียนพร้อมกัน และจะไปนั่งคุยกันไม่หยุด ผมนั้นประหลาดใจเสมอเมื่อได้ฟัง ' ยานเวลา ' ลำนี้ แบ่งปันความรู้ และประสบการณ์ของเธอให้กับผม ตลอดปีนั้น โรสได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยของเรา และเธอนั้นจ ะเป็นเพื่อนได้กับทุกคนในทุกที่ที่เธอไป เธอรักที่จะแต่งตัวดีๆ และดื่มด่ำอยู่กับความสนใจ ที่นักศึกษาคนอื่นๆ มีให้กับเธอ เธอได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ เมื่อถึงตอนสิ้นสุดภาคการศึกษา เราได้เชิญโรสให้มาพูดที่งานเลี้ยงของทีมฟุตบอลของเรา ผมไม่เคยลืมเลยว่า เธอได้สอนอะไรให้กับเรา .. พิธีกรแนะนำตัวเธอ และเธอก็เดินขึ้นมาที่แท่น ตอนที่เธอกำลังเตรียมตัวที่จะพูดตามที่เธอตั้งใจนั้น เธอทำการ์ดที่บันทึกเรื่องที่เธอจะพูดตกพื้น เธอทั้งอาย ทั้งประหม่า แต่เธอโน้มตัวเข้าหาไมโครโฟนแล้วบอกว่า ' ขอโทษด้วยนะ ที่ฉันซุ่มซ่าม ฉันเลิกกินเบียร์มาตั้งนานแล้ว แต่วิสกี้พวกนี้มันแรงจริงๆ... ฉันคงจะเอาบทของฉัน มาเรียงใหม่ไม่ทันแล้วงั้นฉันก็คงได้แค่บอกเรื่องที่ฉันรู้ให้กับพวกคุณก็แล้วกัน ' พวกเราทุกคนหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง ตอนที่เธอเริ่มต้นว่า ' พวกเราทุกคนนั้น ไม่ได้หยุดเล่นเพราะเราแก่หรอก แต่เราแก่เพราะว่าเราหยุดเล่น ที่จริงแล้วมีเคล็ดลับสู่การที่จะยังหนุ่มสาวอยู่เสมอมีความสุข และประสบความสำเร็จอยู่ 4 ประการ 1) พวกคุณจะต้องหัวเราะ และมีเรื่องสนุกๆ ขำขันทุกวัน 2) พวกคุณจะต้องมีความฝัน เมื่อไรก็ตามที่คุณสูญเสีย ความฝันของคุณไป คุณจะตาย มีคนมากมายที่ยังเดินไป เดินมาอยู่ทั้งๆ ที่ตายไปแล้วและไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตายไปแล้ว.. 3) การที่คุณ ' แก่ขึ้น ' กับ ' เติบโตขึ้น ' นั้นมันต่างกันมาก ถ้าคุณอายุสิบเก้า แล้วนอนอยู่บนเตียงเฉยๆ ปีหนึ่ง และไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ตลอดทั้งปี คุณก็จะอายุยี่สิบ ถ้าฉันอายุแปดสิบเจ็ด แล้วนอนเฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยตลอดทั้งปี ฉันก็จะอายุ แปดสิบแปด ทุกๆ คนนั้นจะแก่ขึ้น ทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องอาศัยความสามารถอะไรเลย ประเด็นของการ เติบโตขึ้น นั้นอยู่ที่การแสวงหาโอกาสในการเปลี่ยนแปลง 4) อย่าทิ้งอะไรไว้ให้เสียใจภายหลัง คนสูงอายุส่วนใหญ่นั้น ไม่เสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปแล้ว แต่มักจะเสียใจกับสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ ' คนที่กลัวความตายนั้น มีแต่คนที่ยังมีสิ่งทีต้องเสียใจค้างอยู่ ' เธอจบการพูดของ เธอด้วยการร้องเพลง 'The Rose' อย่างกล้าหาญ และเธอได้แนะให้พวกเราทุกคนศึกษา เนื้อร้องของเพลงนั้นและเอาความหมายเหล่านั้นมา ใช้กับชีวิตประจำวันของพวกเรา เมื่อสิ้นปีการศึกษานั้น โรสได้รับปริญญาที่เธอได้เริ่มฝันไว้เมื่อนานมาแล้ว หนึ่งสัปดาห์หลังจบการศึกษา โรสจากไปอย่างสงบ เธอนอนหลับไปและไม่ตื่นขึ้นอีกเลย นักศึกษากว่าสองพันคนไปร่วมพิธีศพของเธอ เพื่อแสดงความเคารพ ต่อหญิงชราผู้วิเศษ ผู้ได้สอนให้พวกเขาได้รู้ ด้วยการทำให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า ....... ไม่มีคำว่าสายเกินไป ที่จะเป็นทุกสิ่งที่คุณสามารถเป็นได้ เรื่องราวเหล่านี้ส่งต่อกันมาเพื่อระลึกถึงหญิงชราที่ชื่อ โรส จงจำไว้ว่า :- ' การแก่ขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การเติบโตขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่เราเลือกได้ เราอยู่ได้ด้วยสิ่งที่เราได้รับ แต่เราจะมีชีวิตอยู่เพราะสิ่งที่เราให้ไป '
เซลส์เฒ่า
ผมได้อ่านบทความนี้แล้วรู้สึกประทับใจอย่ากให้ใครต่อใครได้อ่านด้วย
ผมสงสัยอยู่ว่าระบบความคิดของคนเราที่มีต่อสิ่งต่างๆบนโลกมีความเหมือนหรื่อต่างกันนั้นมีเหตุและปัจจัยอะไรที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง หรือเป็นตัวกำหนด
มหาวิทยาลัยชีวิต เรียนจบแล้วยังคะ ปีนี้ สุเอาแค่ปริญญาตรีก็พอแล้ว เพราะยังมีงานที่ต้องสะสาง มัวแต่ไปเรียน งานที่บ้านจะไม่เรียบร้อย และอายุมากแล้ว ไม่ได้ว่างเหมือนคุณยายโรส ที่แก่แล้ว มีลูกหลานเลี้ยง อันนี้ต้องเลี้ยงลูกหลายอยู่
มาเยี่ยมเฉยๆ คะ เห็นไปถามกัน เลยเข้ามาตอบ แต่ไม่เห็นบันทึกต่อคะ
ก็ยังคิดอยู่ว่า จะมาอ่านหรือเปล่านี่ ไปหละคะ