นอกจากนี้อาตมาได้เป็นผู้แนะแนววิชากฏหมาย เนื่องจากในเรือนจำมันักโทาเรียนวิชากฏหมาย
“ถ้ารู้ธรรมะพระพุทธเจ้าอาตมาคงไม่ติดคุก13”
โสภณ เปียสนิท
...................................................
<h4 style="text-align: justify;">ยังมีบุญอีกอย่างหนึ่งที่ผู้เขียนสามารถทำได้ คือการให้ความรู้แก่เพื่อนร่วมเรือนจำ เรียกบุญชนิดนี้ว่า “วิทยาทาน” เขาทำด้วยความเต็มใจ “นอกจากนี้อาตมาได้เป็นผู้แนะแนววิชากฎหมาย เนื่องจากในเรือนจำมีนักโทษเรียนวิชากฏหมายมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชรุ่นหนึ่งร่วม 100 คน” เรียกว่าเป็นการบำเพ็ญประโยชน์อีกด้านหนึ่ง</h4>
คุกหรือเรือนจำมอบสิทธิขั้นพื้นฐานแก่นักโทษอยู่บ้าง โดยให้อิสระในการเลือกกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ แก่ตนเองและผู้อื่น “อาตมาจึงนิมนต์พระวิปัสสนาจารย์มาสอน ฝึกปฏิบัติสมาธิกรรมฐาน ใช้เวลาในการฝึกประมาณ 15 วัน ระหว่างนั้นไม่ต้องทำงาน” บางคนอาจมองว่า “การปฏิบัติธรรมง่ายกว่าการทำงาน” แต่สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยอาจไม่เป็นเช่นดังว่า
ยุคที่คุณนัทธี จิตสว่าง เปิดโอกาสให้แก่นักโทษมากกว่ายุคอื่น เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง “ถึงขนาดในยุคนั้นมีสโลแกนว่า ควบคุมด้วยใจ แก้ไขด้วยเมตตา พัฒนาสู่สากล” เช่นมีการส่งนักมวยหญิงออกมาชกมวยสากลอาชีพจนเป็นแช้มป์โลก นับว่าเป็นบุญของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมิใช่น้อย
ผู้เขียนนำพระธรรมของพระศาสดามาเผยแพร่ให้ได้อ่านกัน “ทุกสิ่งที่เราได้กระทำไปนั้น ย่อมมีผลของการกระทำติดตามมาอย่างแน่นอนเพราะพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ทุกคนมีกรรมเป็นของของตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นทายาท” และบอกเล่าเบื้องหลังที่ผ่านมาว่า ตนเองเคยปฏิบัติอย่างไรต่อแนวทางอันสูงค่าที่พระศาสดาทรงสอนไว้ “ไปเปิดงานแล้วก็กลับ ไม่ได้ฟังสวด ไม่ฟังเทศน์ ไม่เคยร่วมปฏิบัติธรรม ไม่รู้ว่าอะไรคือหัวใจสำคัญของศาสนา”
เขาบันทึกความซาบซึ้งในคุณค่าแห่งพระธรรมที่เคยมองข้ามไว้ด้วยความเคารพนับถืออย่างสูงสุด “อาตมาอยากให้สังคมรู้ว่า ของดีทั้งหลายอยู่ที่คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เครื่องรางของขลัง ไม่ใช่น้ำมนต์ แต่ธรรมะคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์” พร้อมกับสะท้อนภาพของสังคมด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป “ในขณะที่ศีลของพุทธศาสนาก็มีอยู่ แต่คนไทยกลับไม่เคร่งครัด ศีล5 ข้อที่เป็นข้อห้าม เราทำผิดหมดทุกข้อ” และ “ปัจจุบันศีลธรรมเสื่อมลง คนหลงวัตถุ หลงความเจริญทางเทคโนโลยีมากขึ้น ทำให้คนหันหลังให้คำสอนของพระพุทธเจ้า ปัจจุบันจึงเกิดปัญหาสังคมขึ้นมากมาย”
เมื่อมองย้อนกลับไปสู่ช่วงชีวิตที่รุ่งเรือง เขาใช้เวลาเสพสุขด้วยความประมาทมัวเมา ไม่เคยเรียนรู้หลักแห่งโลกธรรม8 ประการ “มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ สุขทุกข์ และ นินทา สรรเสริญ” โดยไม่ปิดบัง “ขณะอยู่ในอบายนั้นก็มีความสุขดี ได้กินเหล้า มีผู้หญิงหลายคน เที่ยวเล่นการพนัน แต่มันเป็นความสุขที่ไม่ยั่งยืน” ในตอนหลังที่ผ่านจากการรับโทษ และปฏิบัติธรรมมาได้ระยะหนึ่งแล้วจึงมองเห็นความจริงว่า เส้นทางที่เขาเดินผ่านมาช่างแสนอันตราย
การอยู่ในคุก เหมือนทางสองแพร่ง เหมือนมีดสองคม เพราะทุกคนมีเวลาเลือกทำกิจกรรมอันจะก่อให้เกิดคุณค่าแก่ตนเองและผู้อื่น เขายอมรับความจริงนี้อย่างคนมีดวงตาเห็นธรรมแล้ว อย่างน้อยก็บางส่วน “คนติดคุกคงไม่พูดว่าไม่มีเวลา เพราะในนั้นมีเวลาเหลือเฟือ อยู่ที่ใครจะรู้จักใช้เวลาให้เกิดประโยชน์” (โปรดติดตาม)