วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ.2550 ...
ผมได้รับโทรศัพท์จากลูกศิษย์ปี 4 ซึ่งเป็น Advisee ของผม แจ้งให้ทราบว่า คุณพ่อของ .... (ขอสงวนนาม) เสียเมื่อคืน ด้วยโรคปัจจุบันทันด่วน (ผมยังไม่ทราบชัดเจนว่าเป็นโรคอะไร)
ตั้งศพไว้ที่วัดแถว ๆ แยกข่วงสิงห์ ตั้งศพและสวดอภิธรรม 29-30 ธ.ค.50 (พัก 31 ธ.ค. และ 1 ม.ค.) และสวดอภิธรรม วันที่ 2 ม.ค.อีกวัน วันที่ 3 ม.ค.51 จะ "เสียศพ" (คือ "เผาศพ" ของคนไทยภาคกลาง)
ลูกศิษย์คนนี้ของผม อยู่ปีสุดท้ายของหลักสูตรแล้ว กำลังฝึกสอนอยู่โรงเรียนนวมินทราชูทิศ พายัพ จังหวัดเชียงใหม่ แถมยังเป็นเด็กเรียนดีอีกต่างหาก 3 กว่า ๆ ทำงานดีมาก
หมดภาคเรียนนี้แล้ว ก็จะเรียนจบ เป็นบัณฑิต สมใจครอบครัว พ่อ แม่ และน้องชาย
แต่ ... ที่ไหนได้ ผมยังคิดเลยว่า มันเร็วเกินไปเนาะ พ่อไม่สามารถรอลูกสาวเรียนจบ รับพระราชทานปริญญาบัตรได้ ต้องเดินทางไปสู่ภพอื่นเสียก่อน ทั้งที่ รอมานาน แต่รอไม่ถึง
คิดแล้วมันก็น่าเสียดายและน่าเสียใจแทน
ลองคิดดูนะครับ .. อีก 3 วัน จะถึงวันปีใหม่ที่คนอื่นเขาฉลองกันอย่างมีความสุข แต่ครอบครัวนี้ กลับต้องรู้สึกตรงกันข้าม เป็นความยากลำบากจริง ๆ ที่จะเดินผ่านจุดนี้ไป
Advisee ของผมตอนนี้อยู่ปี 4 ทั้งหมด เป็นรุ่นแรกที่ผมเป็น Adviser ให้ ... มีทั้งหมดอยู่ 31 คน หลุดไป เรียนไม่จบไป 2 - 3 คน กำลังอยู่ในปีสุดท้ายและฝึกสอนอยู่ทั้งหมด
ตลอด 4 ปี ..... (ขอสงวนนาม) เป็นคนที่สองของรุ่นที่ต้องสูญเสียคุณพ่อก่อนเรียนจบปริญญาตรี
ผมเพิ่งมีเวลาว่างคือวันนี้ แต่ผมไม่ทราบว่า วันนี้เค้าพักสวดอภิธรรมศพ
ประมาณ 19.00 น. ผมอาบน้ำแต่งตัวจากบ้านไปที่วัด ไปถึงวัด 19.30 น. ผมไม่เห็นมีคน แถมปิดไฟเกือบหมดทั้งวัด ผมก็นึกว่า ผมมาผิดวัด เลยจอดรถ โทรถามเพื่อนอาจารย์รุ่นพี่ว่า วัดอยู่ตรงนี้ใช่หรือไม่ คำตอบคือใช่แล้ว เข้าวัดไป ศาลาอยู่ทางซ้ายมือ
ผมก็เข้าไปตามเพื่อนรุ่นพี่บอก มืดสนิทเลยอ่ะ น่ากลัว สยองกิ้วมาก
ขี่รถเข้าไป พบมีไฟฉายมาส่องที่รถผม แล้วสักพัก มีหลวงพี่เดินถือไฟฉายมาที่ผม ก้าวเร็วมาก
ผมกลืนน้ำลายเอื๊อก เห็นหน้าใกล้ ๆ เป็นหลวงพี่ ก็เย็นใจหน่อย ส่วนลำตัวหลวงพี่มีจีวรสีเหลือง ก็แน่ล่ะ พระนี่
แต่ลำตัวไม่ชัดเจนนะครับ
ผมก็ถามท่านว่า "ศาลาสวดศพอยู่ตรงไหนครับ" ท่านบอกว่า "เขางด 2 วัน ฉลองปีใหม่" ผมก็ตอบว่า "ครับท่าน"
ผมถามต่อว่า "เอะ แล้วเสียศพวันไหนครับท่าน" ท่านก็บอกแล้วเดินไปที่กระดานดำ ผมก็ขี่รถตามท่านไปด้วย เพราะมันมืดมาก ดับไฟหน้ารถไม่ได้ มันน่ากลัว
หลวงพี่เอาไฟฉายมาส่องที่กระดานดำ ผมถึงได้ทราบว่า งด 2 วัน สวดอีกทีวันที่ 2 ม.ค. เสียศพ วันที่ 3 ม.ค. 13.30 น. ผมจำไว้ เพราะต้องมาอีกครั้งหนึ่ง
ผมจึงกราบลาท่าน ท่านก็ว่า "เจริญพร โยม" แล้วก็ว่า "ออกอีกประตูสิ ใกล้กว่า" ท่านก็เดินไปเปิดประตูวัดประตูเล็กให้ผมนำรถเครื่องออกไป
ตอนนี้ผมเห็นร่างกายท่านชัดเจนมาก ท่านเป็นโรค "ท้าวแสนปม" ครับ รู้จักนะครับ ไม่อยากอธิบายเพิ่มครับ ถึงท่านจะเป็นโรคนี้ แต่ท่านกลับมีน้ำใจสำหรับผม ผมรู้สึกไม่รังเกียจหรือกลัวท่านเลย แต่รู้สึกว่า "คนเราชอบมองคนภายนอก ไม่เคยมองภายในกันบ้าง" แล้วก็รู้สึกปลง ครับ
วันนี้ ผมได้บทเรียนสองอย่างครับ คือ
ทำความดีนะครับ อย่าเบียดเบียนกันเลย :) เริ่มวันนี้ยังไม่สายครับ
สวัสดีปีใหม่ ... ครับ
สวัสดีค่ะ อาจารย์
สวัสดีค่ะ อ.วสวัตดีมาร
เสียใจกับน้องวโรบลด้วยค่ะ บางเรื่องราวเราก็ไม่สามารถคาดคิดได้เลยนะคะว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด
และเราก็คง " ปฏิเสธ " ความทุกข์จากสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้..เพียงแต่เราไม่ควรจะให้ " ความทุกข์ " อยู่กับเราชั่วนิรันด์..เพราะเมื่อเรารู้สึกทุกข์ทนจากการสูญเสีย
ช่วงเวลาแบบนี้แหละค่ะที่ให้โอกาสอันยิ่งใหญ่ที่เราจะได้ " รู้ีค่า...ของสิ่งที่ยังคงอยู่ "
..ขอน้อมส่งคุณพ่อของน้องวโรบลเดินทางไกลด้วยคนนะคะอาจารย์
เบิร์ดชอบแง่คิดที่อาจารย์ได้จากการไปร่วมไว้อาลัยในครั้งนี้มากเลยค่ะ
สวัสดีปีใหม่ครับ คุณครู จุฑารัตน์
ขอบคุณครับ คุณครู จุฑารัตน์ ที่แวะมาให้กำลังใจกันอย่างสม่ำเสมอ :)
สวัสดีปีใหม่ครับ คุณ เบิร์ด
บุญรักษา คุณ เบิร์ด ดีกว่า :)
สวัสดีครับ คุณครู จุฑารัตน์
ขอบคุณครับ :)
ชีวิตของคนเรามันสั้นครับอาจารย์ แค่ช่วง "ลมหายใจเข้า" หรือ "ลมหายใจออก" ถ้าหยุด ไม่เข้า ไม่ออก ก็ตายชัวร์ ^^