“หลักการร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ (Creative Collaboration)”
เมื่อเข้าใจผู้อื่นแล้วจะเห็นความแตกต่างระหว่างบุคคล แล้วจะให้คุณค่าในความแตกต่างเหล่านั้น อันจะนำไปสู่ความสามารถในการใช้ความแตกต่างนั้นมาผนึกพลัง ประสานความต่างได้ เมื่อเกิดความร่วมมือกัน (Synergy) เราจะสามารถพึ่งพากันได้ และเมื่อนั้นเราจะมีชัยชนะ
การประสานพลัง (Synergize) หมายถึง การผนึกพลังผสานความต่าง โดยการร่วมมือกันกับคนอื่นอย่างสร้างสรรค์ เป็นการนำข้อดีของอุปนิสัยทั้งหมดมารวมเข้าด้วยกันเพื่อทำงานใหญ่ให้สำเร็จ กุญแจสำคัญของการประสานพลังระหว่างบุคคล คือ การประสานพลังในตัวบุคคลนั่นเอง เป็นการประสานพลังภายในตัวเองโดยการทำให้อุปนิสัยทั้ง 3 ข้อแรกฝังอยู่ในตัวเราให้ได้ ซึ่งจะทำให้เรารู้สึกมั่นคงเพียงพอที่จะรับมือกับความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น เมื่อเรามีหลักการทั้งสามอยู่ในใจแล้ว ก็เหมือนกับเราได้พัฒนาจิตใจที่เอื้อเฟื้อ และมีความคิดแบบ ชนะ / ชนะ อันเป็นพลังของอุปนิสัยที่ 5 ในการสื่อสารแบบประสานพลัง เราต้องเปิดใจ เปิดความคิดให้กว้างและเตรียมความรู้สึกให้ดี พร้อมรับมือกับสิ่งใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นรวมทั้งทางเลือกใหม่และโอกาสใหม่ ซึ่งฟังดูเหมือนกับว่าจะขัดแย้งกับอุปนิสัยที่ 2 (เริ่มต้นด้วยจุดมุ่งหมายในใจ) แต่ในความเป็นจริงเรากำลังทำให้มันสมบูรณ์ยิ่งขึ้นต่างหาก หรือ ผนึกพลังผสานความต่าง คนเรามักอยู่ในมุมของตัวเอง ไม่ยอมรับความเห็นของผู้อื่น ถ้าเราเปิดใจยอมรับความเห็นที่แตกต่างได้ นั่นย่อมนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง 1+1 > 2 ก็เพราะการยอมรับในความแตกต่าง
การยอมรับในคุณค่าของตนเองหรือการนับถือตนเอง (Self - esteem) หมายถึง ความรู้สึก ความเชื่อที่บุคคลที่มีต่อตนเองว่ามีความสามารถมีคุณค่า ซึ่งจะมีระดับตั้งแต่การนับถือตนเองต่ำไปจนถึงการนับถือตนเองสูง การที่บุคคลยอมรับตนเองนับเป็นทักษะสำคัญในการที่จะเรียนรู้พัฒนาตนเอง และการดำเนินชีวิต เพราะความสามารถในการรักษาสัมพันธภาพระหว่างบุคคลได้ดี มีผลมาจากการที่บุคคลยอมรับหรือปฏิเสธตนเอง ทำให้สามารถใช้ทำนายสัมพันธภาพที่บุคคลอื่นมีต่อเราได้เช่นกัน การนับถือตนเอง (Self - esteem) ประกอบด้วย ความตระหนักถึงคุณค่าตนเอง (Self-respect) และ ความเชื่อมั่นในความสามารถตนเอง(Self-efficacy) จนกลายเป็น ภาพแห่งตน (Self-image) ทำให้บุคคลรู้จักตนเอง มองโลกในแง่ดีเสมอ มองวิกฤตให้เป็นโอกาส ประเมินตัวเราให้มีคุณค่าอยู่เสมอ เชื่อมั่นในความสามารถตัวเอง มองว่าตัวเราเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและเราสามารถเปลี่ยนแปลงตามที่เราต้องการ และไม่หลงตนเอง ทำให้มีความมั่นใจ มีความหวัง มีพลังในการต่อสู้ ที่สำคัญคือเราต้องเปิดใจ เข้าใจในความแตกต่างของผู้อื่น และใช้ความแตกต่างนั้นให้เกิดประโยชน์
โบราณว่าไว้ สองหัวดีกว่าหัวเดียว ดังนั้น เมื่อคนสองคนคิดหาทางออกร่วมกัน ย่อมดีกว่าที่ต่างคนต่างหาทางออกโดยไม่ปรึกษากัน หรือตัดสินใจคนเดียวตามลำพัง ความร่วมมือร่วมใจไม่ใช่การยอมความ หากแต่เป็นการสื่อสารกันด้วยความเคารพในสิทธิและความคิดสร้างสรรค์ของกันและกัน ทำให้เกิดการเรียนรู้ เกิดความเข้าใจ และสามารถหาทางออกได้ดีกว่าเดิม จึงทำให้เกิดสูตร Synergy คือ 1+1= 3
การทำงานใดๆ คงหลีกเลี่ยงอุปสรรคปัญหาไม่ได้ แต่การทำงานร่วมกันเป็นทีม (Team Work) ช่วยให้บุคคลหลายคนทำงานร่วมกันโดยมีความพึงพอใจในการทำงานนั้น เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถแก้ปัญหาได้มีประสิทธิภาพดีกว่า ตัดสินใจได้รอบคอบยิ่งขึ้น และก่อเกิดความคิดสร้างสรรค์ดีกว่าคิดอยู่คนเดียว การประสานพลัง คือ การประสานความแตกต่าง โดยพยายามร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมายของทุกคนในทีม ... The whole is greater than the sum of its parts.
การทำงานด้วยการประสานประโยชน์อย่างสร้างสรรค์เพิ่มพูน (Synergize) จึงเป็นการแสวงหาทางเลือกในการแก้ปัญหา ทางเลือกที่ได้เป็นทางเลือกจากการปรึกษาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดและข้อมูลซึ่งกันและกัน สรุปผลเป็นทางเลือกใหม่ที่ดีกว่าทางเลือกของแต่ละคน เป็นทางเลือกที่มีการยอมถอยคลละก้าว การจะทำงานแบบประสานประโยชน์อย่างสร้างสรรค์ได้ จะต้องเปิดใจรับฟังกันและกัน โดยใช้อุปนิสัยที่ 4 และ5 มาช่วยให้การประสานพลัง มีประโยชน์ สร้างสรรค์และเพิ่มพูน
เคล็ดลับ ยอมรับในความแตกต่างว่าเป็นเรื่องธรรมดา และต้องคิดเสมอว่าเราจะนำจุดเด่นของแต่ละคน มาเสริมให้เกิดประโยชน์ซึ่งกันและกันได้อย่างไร
อ่านอุปนิสัยข้ออื่นได้ที่นี่ค่ะ http://gotoknow.org/blog/the7habits
ไม่มีความเห็น