ช่วยด้วย อย่าข่มขืนหนู


อย่า "สอดใส่" "ใจมาร" ให้หนู

ช่วยด้วย อย่าข่มขืนหนู

 

นี่ไม่ใช่การข่มขืนทางเพศนะครับ     แต่เป็นการข่มขืนทางจิตใจ    เป็นการ สอดใส่ ใจมารให้แก่เด็กและเยาวชน     สื่อมวลชน และกิจกรรมอีกมากมายหลายหลาก กำลังฝึกฝนจิตใจเยาวชนของเราให้เป็นคน ใจมาร โดยที่เราไม่รู้ตัว

 

พ่อแม่หลายคน ข่มขืน ลูกด้วยความรัก    เอาความรักผิดๆ ไป ข่มขืน ลูก     ครูหลายคน ข่มขืน ศิษย์ด้วยความหวังดี     เอาวิธีสอนผิดๆ ไปใช้     ที่จริงวิธีสอนนั้นถูก แต่ใช้ผิดคน ผิดกาละเทศะ

 

ผลคือ เราสร้าง รอยแผล ประทับไว้ในใจเด็ก     ให้เขาเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ใจมาร

 

พวกเราทุกคน มี ใจมาร อยู่ในตัวทุกคน มากบ้าง น้อยบ้าง     และอาจเป็นมารคนละแบบ     ฝังอยู่ลึกบ้าง ตื้นบ้าง     ออกมาอาละวาดบ่อยบ้าง ไม่บ่อยบ้าง

 

ที่เรากลัวมาก คือ ผู้ใหญ่ใจมาร ที่เข้ามาครองบ้านครองเมือง     ที่ออกฤทธิ์มารเชิงระบบได้โดยเราไม่รู้ตัว      พอจะมองเห็นสภาพนโยบายรัฐบาลเมื่อ 5 ปีก่อน 19 กันยา 49 ไหมครับ

 

ถ้าเรา ข่มขืนเด็ก กันอย่างปัจจุบัน    ในอนาคต 20 – 30 ปีข้างหน้า      บ้านเรือนของเราก็จะเป็น “เมืองมาร

 

ใครมีไอเดียเด็ด ที่จะป้องกันเยาวชนของเราจากการถูก ข่มขืน      ช่วยแนะนำผมด้วย     ผมจะเอาไปพูดพรุ่งนี้ ที่งาน สมัชชา ว&

 

วิจารณ์ พานิช

 15 ก.ค. 50  
หมายเลขบันทึก: 111618เขียนเมื่อ 15 กรกฎาคม 2007 08:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 มิถุนายน 2012 18:20 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

เราเห็นด้วยกับท่านข้อให้ท่านเอาแนวคิดของท่านสร้างแรงจูงใจให้ผู้ใหญ่ที่ได้เข้าไปจัดการบริหารประเทศชาติ  ขอบคุณ

   ไม่เข้าใจคำว่า "ข่มขืน" และคำว่า "ใจมาร" ค่ะ

เพราะบางครั้งมันแยกไม่ออก ระหว่างสิ่งที่เราต้องการ/ควรสอนให้เด็กรู้และพึงปฏิบัติ กับสิ่งที่เรียกว่า "ข่มขืน" ค่ะ

   อย่างนี้เราจะทราบได้อย่างไรคะว่าเราควรสอนอะไร

เกิดเด็กบอกว่าสิ่งที่เราควรสอนเป็นการ "ข่มขืน" อย่างนี้ครูจะสอนอะไรได้ล่ะคะอาจารย์

บันทึกนี้ของอาจารย์ประทับใจผมมากครับ แต่ผมไม่แน่ใจว่าความประทับใจนั้นจะตรงกับเจตนาที่อาจารย์สื่อสารหรือเปล่า เพราะอาจารย์สื่อสารซับซ้อนหลายมุม ด้วยตำแหน่งการงานที่อาจารย์มีอยู่ อาจารย์คงสื่อสารอย่างที่ผมทำไม่ได้ ดังนั้นถ้าไม่ตั้งใจอ่านอาจหลงประเด็นมุมซ้อนที่อาจารย์ต้องการสื่อสารได้ครับ

ผมเองมองเห็น "ความแตกต่าง" ระหว่างนโยบายรัฐบาลเมื่อ 5 ปีก่อน 19 กันยา 49 กับนโยบายรัฐบาลหลัง 19 กันยา 49 ชัดเจนเลยครับ โดยอย่างยิ่งประเด็นของการ "ข่มขืน" ที่อาจารย์เขียนในบันทึกนี้ครับ

ผมเชื่อว่าคนทั่วไปก็มองเห็นเช่นกันครับ เพราะเห็นได้ชัดเจนมากเหลือเกินทีเดียว ถ้าไม่ถูกบังตาด้วยอคติขนาดใหญ่ รับประกันว่าไม่มีใครมองไม่เห็นครับ

ที่น่าสนใจคือคนที่ยังปิดตาอยู่แล้วยึดอคติเป็นหลัก ไม่เปิดตามาดูความเป็นไปของบ้านเมือง ในประเทศเราเหลือน้อยลงเรื่อยๆ ครับ น่าดีใจที่หลายคนกลับมายึดหลักเหตุผลกันมากขึ้น หลังจากเริ่มรู้จักว่าการถูก "ข่มขืน" เป็นอย่างไร

มีคนเหลือน้อยแล้วครับ ที่ยืนยันอยู่กับอคติเพราะด้วยความกลัวเสียอัตตาที่ตั้งมั่นมาหลายปี

คนที่ยืนยันรับการ "ข่มขืน" อยู่ตอนนี้เป็นที่รู้ทั่วกันว่าเป็นเรื่อง "ผลประโยชน์" แต่ไม่ใช่เรื่อง "อคติ" ครับ

ศ.ดร.นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์ ซึ่งเป็นบุคคลที่อาจารย์ยกย่องว่าเป็น "คนดีวันละคน" ก็เป็นบุคคลหนึ่งที่ยอมรับและขอโทษในความเข้าใจผิดของตนเอง และใช้พลังที่มีอยู่เป็นประโยชน์เป็นเรี่ยวเป็นแรงเพื่อให้เยาวชนไม่ต้องถูก "ข่มขืน" ครับ

ก่อนหน้านี้ผมเคยข้องใจในความเป็น "คนดี" ของอาจารย์นิธิ เพราะสังเกตว่าอาจารย์นิธิเป็นบุคคลที่ใช้อคตินำเหตุผล บุคคลลักษณะนี้คนรุ่นผมจะไม่ยกย่อง ถ้าจะยกย่องก็ทำกันแบบลิงหลอกเจ้า พอขอข้าวกินไปวันๆ

แต่ตอนนี้ผมเริ่มเปลี่ยนความคิดแล้วครับ

อาจารย์นิธิเป็นต้นแบบว่าคนแก่ก็เข้าใจผิดได้ ถ้าอะไรที่มันชัดเจนเหลือเกิน จะเอาอะไรเข้าไปปิดยังไงก็คงปิดไม่อยู่ โดยเฉพาะคนรุ่นหลังที่เดี๋ยวนี้มีความคิดเป็นของตัวเองไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆ เหมือนเมื่อก่อน ยอมเสียอัตตามาเริ่มต้นใหม่อยู่บนหลักเหตุและผลจะเป็นที่ยกย่องแก่คนรุ่นหลังมากกว่า

น่าดีใจจริงๆ ครับที่นักวิชาการอาวุโสของไทยเลือกใช้เหตุผลมากกว่าอคติและอัตตาครับ

สวัสดีครับ
   ... การป้องกันเยาวชนของเราจากการถูก ข่มขืน” ....

  • รีบนำเยาวชนออกไปพบผู้คนและร่วมกิจกรรม ตั้งแต่อนุบาลไปเลยครับ  และอย่าให้ขาดตอน ต่อเนื่องไปยัง ประถม  มัธยม และอุดมศึกษา
  • ใช้กิจกรรมนำหน้า เพลาๆเรื่องตำรา แต่แสวงหาความรู้ ความจริง จากคน  จากแหล่งเรียนรู้ใกล้ตัวให้มากๆ 
  • ฝึกฝนการเป็น ผู้รับ/ผู้ให้ การช่วยเหลือเกื้อกูล ทำไปจนเขาเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนต้องอิงอาศัยกัน  ไม่มีอะไรอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้
  • สอนความรัก ความมีเมตตาโดยไม่ต้องพร่ำสอน เรียนไปแบบไม่รู้ตัว ไปกับกระบวนการเรียนรู้ใหม่ที่ไม่แยกให้ห่างไกลจากวิถีชีวิตจริง
  • เป้าหมายคือให้เขามีใจ "รักผู้อื่น" โดยเป็นไปเองโดยไม่เป็นการทำเพื่อเอาใจใคร หรือจากการต้องบังคับจิตใจ ให้ทำ
  • จัดโอกาสให้เด็กๆได้ใช้ศักยภาพที่ตนมี ไม่ว่าด้านใดๆ  ทำสิ่งที่เป็นการให้ หรือ ช่วยเหลือผู้อื่น และให้มีการยกย่องตามความเหมาะสม
  • เด็กเคารพตัวเอง ภาคภูมิใจในตัวเองได้ ก็เพราะเราทำให้เขาเห็นคุณค่าในตัวเขา ไม่มีอะไรวิเศษเท่า กิจกรรมที่มีความหมาย และผูกพันกับชีวิตจริง
  • หลังจากนั้น สื่อ ICT หรือเทคโนโลยีทันสมัยบรรดามี ก็จะถูกใช้ให้ทำหน้าที่  เสริมสร้างความดี  ไม่มีที่ว่าง และโอกาสที่ใครจะข่มขืนพวกเขาได้อีกต่อไป .. เพราะเขาจะเห็น ความไร้สาระ ของหลายสิ่งที่ทำๆกันอยู่ในปัจจุบัน อาจไปถึงขั้นหัวเราะเยาะ ความเหลวเละ ที่มีอยู่เกลื่อนเมืองในปัจจุบันก็ได้ครับ

สวัสดีค่ะ

ดิฉันเชื่อว่า

เด็กจะดี อยู่ที่พ่อแม่ปฏิบัติตัวเป็นแบบอย่าง

และช่วยสั่งสอนลูกในทางที่ดี

ถ้าลูกไม่ดี ไม่ใช้โทษครูอย่างเดียวค่ะ

แต่อ่านข่าวช่วงนี้ เห็นครูแปลกๆมากขึ้น

ดังนั้นพ่อแม่ต้องสอนลูกให้ดี จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของใคร

กราบสวัสดีครับท่านอาจารย์

ใครมีไอเดียเด็ด ที่จะป้องกันเยาวชนของเราจากการถูก ข่มขืน      ช่วยแนะนำผมด้วย     ผมจะเอาไปพูดพรุ่งนี้ ที่งาน สมัชชา ว&

ท่านอาจารย์ขึ้นหัวข้อบทความมาน่าหวาดเสียว...ผมก็ขอตอบแบบหวาดเสียวด้วยนะครับ....เพื่อให้เป็นเรื่องเดียวกันครับ แต่ไม่แน่ใจว่าจะเกิดประโยชน์หรือไม่นะครับ

  • เด็กถูกข่มขืนจากสถาบันครอบครัว ก็ต้องเริ่มแก้ที่สถาบันครอบครัวครับ
  • พ่อแม่ต้องสวมถุงสติ ถุงปัญญา ต้องคิดแล้วก็คิดก่อนจะสอนลูก แนะนำลูก เป็นเพื่อนกับลูก ก่อนจะพลั้งพลาดไปสู่การข่มขืนลูก
  • พ่อแม่นี่สำคัญมากครับ ผมว่าหากไม่พร้อมจะมีลูกก็ไม่ควรจะมีลูกครับ เพราะหากมีแล้วไม่ดูแลและไม่รับผิดชอบ เด็กจะโดนข่มขืนถาวร โดยปล่อยลูกเอาไว้ให้ดิ้นรนกันเอง หรือมีโดยไม่มีพื้นฐานมาจากความรักจริงๆ ที่จะพูดออกมาได้เต็มปากว่านี่คือครอบครัว และความอบอุ่น
  • คราวนี้เมื่อมีลูกมาแล้ว น่าจะตีเค้าด้วยเหตุผลไม่ใช่รักจนลืมหูลืมตา ใครแตะต้องลูกไม่ได้เลย อันนี้ก็เป็นการข่มขืนใจอย่างที่อาจารย์ว่าครับ
  • ครูก็ต้องมีการนับช่วงของการปลอดภัยในการสอดใส่สิ่งดีๆ ให้กับเด็กด้วยปัญญามากกว่าอารมณ์ เพราะบาดแผลที่ประทับอยู่ในใจเด็กนั้น จะเป็นบาดแผลของชีวิตที่ลบออกไม่ได้ หากไม่ลบด้วยความเข้าใจ บนเหตุฐานของความรัก และเหตุผล
  • ชุมชนสังคม นโยบายรัฐต้อง ปลดหรือลดสถานที่บริการแหล่งข่มขืนทางจิตใจกับเด็กบ้างครับ หากครอบครัวสอดใส่ภูมิคุ้มกันดีให้กับลูกน้อยได้ รู้ว่าสื่อประเภทใดควรมิควร เด็กคิดเองได้ ปิดตา ปิดใจได้สำหรับ ภัยที่เกิดมา รัฐต้องมีภูมิคุ้มกันก่อน เพราะเราจะไปว่าเด็กไม่ได้ครับ ต้องโทษผู้ใหญ่นี่หล่ะครับ
  • ปลูกพืชอยู่ในดินประเภทใด ใส่ปุ๋ยชนิดใด ต้นไม้ก็ย่อมประท้วงและแสดงออกแต่ในส่วนนั้นครับ เพราะต้นไม้หนีไม่ได้ เดินไม่ได้ เด็กก็เช่นกัน จะหันหน้าไปทางไหน หากหันไปทางไหนก็มีแต่สถานบริการข่มขืนทางจิตใจ เกลื่อนเมือง
  • ควรจะมีสถานบริการ บริหาร ให้เด็กให้บริหารปัญญา บริหารสมองของตัวเองบ้าง บริหารจินตนาการตัวเองให้มากๆ ให้เด็กทำงานเป็นทีมเพื่อจะไม่ได้โดนข่มขืนเป็นรายเดียว และอีกอย่าง ผู้ใหญ่ โรงเรียน ชุมชน ไม่ควรจะข่มขืนเด็กจากบนลงล่างอย่างเดียว แต่ต้องให้เด็กได้มีโอกาสเสนอเองบ้าง (รับฟังความเห็นของเด็กบ้าง อย่าเอาแต่ชี้นิ้วให้เด็กทำนั่นนี่ครับ)
  • และอื่นๆ อีกมากมายครับ ผมเชื่อว่าคนไทยรู้ว่าอะไรดีไม่ดี โดยเฉพาะผู้ใหญ่ในบ้านเมือง เพียงแต่ว่าจะทำหรือไม่ทำเท่านั้นครับ
  • มีของฝากมาฝากท่านอาจารย์ครับ
  • สภาการศึกษา G2K : ไวรัสร้ายที่ทุกคนต้องระวัง "ภูมิคุ้มกันชุมชนบกพร่อง"
  • จากเกมส์หวงไข่ สู่ โมเดลภูมิคุ้มกันในสองและสามมิติ
  • กราบขอบพระคุณมากครับ อาจจะไม่ค่อยได้ประเด็นอะไรมากครับ

กราบสวัสดีค่ะอาจารย์...

กะปุ๋มขออนุญาตมาร่วม share ค่ะ...

เมื่อใดก็ตามที่บุคคลนั้นเลิกข่มขืนตนเอง...เขาก็จะเลิกข่มขืนคนอื่นค่ะ...

และหากเมื่อใดที่เขารู้ตัวว่าเขากำลังข่มขืนตนเอง...เขาก็หยุดการข่มขืนทั้งสิ้นทั้งปวงค่ะ...

ขอบคุณค่ะ

(^____^)

กะปุ๋ม

อาจารย์ครับ ขออนุญาตินะครับ นำความบางตอนไปรวมครับ ขอบคุณมากครับ  http://gotoknow.org/blog/mrschuai/107076#
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท