หลายวันก่อน..ในขณะที่คนเขียนทำโน่น - ทำนี่ เรื่อยเปื่อยอยู่ในบ้าน สัญญานเสียงจากโทรทัศน์ก็แว่วเข้ามากระทบกับโสตประสาทให้ได้ยิน เขาบอกว่า จากผลการวิจัยการอ่านของคนไทยเฉลี่ยคนละ 8 บรรทัดต่อปี
คนเขียนหยุดภารกิจเรื่อยเปื่อยที่ทำทั้งหมดมานั่งจ้องโทรทัศน์อย่างตั้งอกตั้งใจ รู้สึกประหลาดใจแกมตกใจล่ะสิไม่ว่าที่โดยเฉลี่ยแล้วคนไทยอ่านหนังสือกันคนละ 8 บรรทัดต่อปี (( เคยอ่านในหนังสือเล่มหนึ่ง เมื่อประมาณปี พ.ศ.2548 ค่าเฉลี่ยนี้ตกอยู่ที่เลข 5 และเคยพาดสายตาไปเจอในเวบไซด์หนึ่งบอกว่า ปี พ.ศ. 2549 ค่าเฉลี่ยการอ่านของคนไทยตกอยู่ที่ 7 บรรทัดต่อปี )) โอ้แม่เจ้า!! โดยส่วนตัวแล้วคนเขียนเป็นผู้ที่รักการอ่านอย่างที่สุด แน่ล่ะ อย่างคนเขียนนี่ต้องจัดอยู่ในเกณฑ์ผู้ที่อ่านหนังสือปีละหลาย ๆ ล้านบรรทัด จะด้วยปูมหลังที่มีพ่อเป็นคุณครูประชาบาลผู้ซึ่งปลูกฝังและสนับสนุนให้ลูกรักการอ่านหรือเปล่านะ ก็อาจจะใช่ แต่ทั้งนี้คนเขียนเข้าใจว่ามันเป็นด้วยอุปนิสัยโดยส่วนตัวของคนเขียนเอง
ได้ฟังข่าวที่ว่าก็ทำให้คนเขียนสงสัยว่า เพราะอะไร คนไทยถึงไม่นิยมอ่านหนังสือ? ฤา ว่า วัฒนธรรมในการอ่านหนังสือของคนไทยอ่อนแอ (( เฮ้ยยย!! แต่คนเขียนก็แอบค้านในใจว่า ค่าเฉลี่ยมันก็กระดึ๊บ ๆ ขึ้นมาทีละ 1 แล้วไงต่อปี มันมีการพัฒนานะเฟ้ยยย )) ถึงอย่างไรก็ตาม คนเขียนรู้สึกสลดใจอยู่ดี นี่มันแสดงให้เห็นว่าคนไทยไม่ไฝ่รู้หรือเปล่า?
ตั้งแต่จำความได้ คนเขียนโตมากับกองหนังสือ เวลาว่างของคนเขียนก็คือการอ่านหนังสือ ทานข้าวก็ติดนิสัยต้องมีหนังสือ (( ตอนเรียนระดับชั้น ม.1 คุณครูไม่ให้อ่านหนังสือระหว่างทานอาหารกลางวัน คนเขียนก็แก้ปัญหาด้วยการอ่านฉลากน้ำปลาไปพลาง ๆ )) จะเดินทางไปไหนก็ต้องมีหนังสืออยู่ในมือ อ่านหนังสือเรียนของเด็กประถม 6 จบ ทั้งที่ตัวเองเรียนชั้น ป.2 - ป.3 พอมาเรียนชั้นมัธยมก็ขลุกอยู่ในห้องสมุดที่มีหนังสือละลานตา สมัยเรียนชั้นอาชีวศึกษาก็พึ่งพาร้านหนังสือเช่า และ ณ ปัจจุบันนี้ คนเขียนก็ยังคงมีความรู้สึกกระหายอ่านได้เรื่อย ๆ อย่างไร้ขีดจำกัด ด้วยความโชคดี ใน ณ ช่วงบางเวลา คนเขียนจะได้เจอกัลยาณมิตรที่สนับสนุนการอ่านเสมอ พี่สาวหลายคนจากโลกไซเบอร์ส่งหนังสือหลายประเภทมาให้ยืมอ่าน หรือบางรายก็ยกหนังสือให้เป็นสมบัติส่วนตนของคนเขียนไปซะ ลูกสาวเจ้านายก็เป็นคลังหนังสืออันล้ำค่าของคนเขียน เป็นเรื่องปกติที่คนเขียนจะได้รับหนังสือเป็นของขวัญเนื่องในโอกาสหรือเทศกาลต่าง ๆ คนเขียนอ่านได้ตั้งแต่หนังสือแนวธรรมะอย่าง " คู่มือมนุษย์ " ของพระพุทธทาส หนังสือพงศาวดารอย่าง " พม่าเสียเมือง " หนังสือวรรณกรรมเด็กและเยาวชนอย่างชุด " บ้านเล็กในป่าใหญ่ " หรือ " สี่ดรุณี " หรือ " เรื่องเล่าของกะทิ " หนังสือนวนิยาย พ็อกเก็ตบุ๊ค นิตยสาร อ๋อ รวมถึงจุลสาร ด้วยล่ะค่ะ หรือแม้กระทั่งวรรณกรรมเชิงปรัชญาเล่มปราบเซียนอย่าง " โลกของโซฟี " ก็ผ่านตาคนเขียนมาแล้วทั้งนั้น รวมไปถึงหนังสือการ์ตูนขายหัวเราะด้วยถ้ามีโอกาส
งานสัปดาห์หนังสือที่จัดขึ้น ณ ศูนย์การประชุมสิริกิต์ ครั้งแล้วครั้งเล่า จากที่คนเขียนได้ไปสัมผัสมาก็เห็นว่าผู้บริโภคมีมากเสียจนล้นหลาม แต่ข้อสังเกตของคนเขียนก็คือ ผู้คนที่รักการอ่านนั้นล้วนแต่เป็นเด็กนักเรียน - นักศึกษา คนวัยทำงาน พ่อบ้าน - แม่บ้านที่มีกำลังจะซื้อหาหนังสือบางประเภท คนทำงานที่มี life style แต่คนที่คนเขียนไม่ค่อยเห็นก็คือ ชนชั้นกรรมาชีพ อันหมายถึงผู้ที่ทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำกลางแดดเปรี้ยงหรือหนุ่มสาวโรงงานที่แค่วัน ๆ จะกินเข้าไปก็ยังไม่มี เพราะฉะนั้นสำหรับพวกเขาแล้วหนังสือเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย แน่ล่ะจ๊ะ ยกเว้นหนังสือซุบซิบดาราภาพยนต์ การ์ตูนเล่มละสิบบาท หนังสือโป๊ ฯลฯ ที่คนอีกกลุ่มส่ายหน้า เบ้ปาก ว่าช่างเป็นหนังสือที่ช่างไร้รสนิยมจริง ๆ (( hahaha ที่ว่ามานี่ คนเขียนอ่านมาหมดแล้วล่ะค่ะ ท่าน ๆ ))
คนเขียนลืมคิดไปว่า ถ้าคนเขียนต้องทำงานหาเช้ากินค่ำแบบนั้นแล้วล่ะก็ คนเขียนจะเอาเงินตั้งเกือบร้อยไปซื้อหาหนังสือแนวปรัชญามาอ่านทำไมกันล่ะเนี่ย สู้เอาเงินจำนวนนี้ไปซื้อข้าวกิน หรือซื้อหนังสือซุบซิบดาราไว้ไปอัพเดตกับเพื่อน ๆในโรงงาน หรือในที่ทำงานดีกว่า โฮ่ะ ๆ ๆ
อย่างไรก็ตาม คนเขียนคิดว่าท่ามกลางปัจจัยหลายหลากนี้ ตัวเลขที่ได้มีการคำนวณเฉลี่ยออกมาต่อหัวต่อปีนั้น มันก็ไม่ต่างไปจากดัชนีชี้วัดให้เราเห็นปัญหาบางอย่างของสังคม
อดคิดเล่น ๆ ไม่ได้ว่า น่าจะมีองค์กรหรือหน่วยงานบางหน่วยงานเปิดโอกาสให้คนทุกชนชั้นที่รักการอ่านได้มีโอกาสเข้าถึงข่าวสารข้อมูลหรือได้มีโอกาสอ่านหนังสือ ประเทศเราจะได้มีการพัฒนาขึ้น ว่าแต่..เอาเข้าจริง ๆ แล้ว การอ่านหนังสือทำให้เราฉลาดได้จริง ๆ หรือ???????