เสียงสะท้อนจากฅนด้อยโอกาส : ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน


คนด้อยโอกาสในสังคมไทยโดยเฉพาะคนเร่ร่อนไร้บ้านที่หลาย ๆ คนในสังคมยังมีทัศนคติ และพิพากษาว่า เป็นคนขี้เกียจ เป็นภาระของสังคม โดยมีความเห็นส่วนตัวที่ว่า ร่างกายสมประกอบไม่ใช่คนพิการ มีมือมีเท้า แต่ไม่ยอมไปทำมาหากินเลี้ยงตัวเองมาแบมือขอเงินคนอื่น เอาเปรียบสังคม ???

ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน 

       สำนวนสุภาษิตไทยที่ว่า ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน เป็นบทสะท้อนของสังคมไทยที่ ให้โอกาสคนในการเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ไม่ปิดกั้นโอกาสของคน แต่ดูเหมือนในสังคมไทยทุกวันนี้ สิ่งเหล่านี้จะห่างหายไปจากสำนึกของคนไทยเกือบทุกคน สังเกตได้จากสถานการณ์ในสังคมไทยที่หากมีใครทำอะไรผิดพลาด หรือพลาดพลั้งในเรื่องอะไรบางอย่างไป มักจะโดนถล่มให้จมดิน เรียกว่าไม่ต้อผุดต้องเกิดกันเลย

        คนด้อยโอกาสในสังคมไทยโดยเฉพาะคนเร่ร่อนไร้บ้านที่หลาย ๆ คนในสังคมยังมีทัศนคติ และพิพากษาว่า เป็นคนขี้เกียจ เป็นภาระของสังคม โดยมีความเห็นส่วนตัวที่ว่า ร่างกายสมประกอบไม่ใช่คนพิการ มีมือมีเท้า แต่ไม่ยอมไปทำมาหากินเลี้ยงตัวเองมาแบมือขอเงินคนอื่น เอาเปรียบสังคม ???

        มุมมองแบบนี้สะท้อนความคิดที่อยู่ภายในจิตใจของคนที่คิดแบบนั้นว่าค่อนข้างคับแคบ โดยไม่ดูองค์ประกอบอื่น ๆ ที่คนเร่ร่อนไร้บ้านประสบก่อนที่จะตัดสินใจออกมาเป็นคนเร่ร่อนไร้บ้านอย่างที่เห็นกันในปลายทาง แต่ที่ไม่น่าเชื่อไปกว่านั้น คืม บุคคลบางคน บางกลุ่มที่กำลังตัดสินใจเป็นคนทำงานด้านการสนับสนุนรัฐสวัสดิการมีมุมมองต่อคนเร่ร่อนไร้บ้านแบบตั้งข้อรังเกียจและดูถูกดูแคลน แถมยังมีการกระจายความรู้สึกดังกล่าวสู่คนรอบข้างให้รู้สึกแบบเดียวกัน หนำซ้ำมีการให้ร้ายคนเร่ร่อนไร้บ้านว่าน่ากลัวน่ารังเกียจ ?? ไม่รู้ว่า ทำได้อย่างไร ?? 

       คนเร่ร่อนไร้บ้านในพื้นที่สนามหลวง คลองหลอด เป็นคนที่มีน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์อยู่ไม่น้อย ดูได้จากเมื่อคราวที่ เกิดเหตุไฟไหม้ที่ชุมชนวัดสังเวชฯ อิสรชนได้รับการติดต่อให้เข้าไปช่วยเหลือเพื่อสร้างบ้านให้แก่สมาชิกชาวชุมชนดังกล่าวที่ประสบความเดือดร้อนจำนวน 1 หลัง อิสรชน ประชาสัมพันธ์ ขอความช่วยเหลือไปในหลาย ๆ ทาง แต่ ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาเลย แต่เมื่อนำเรื่องดังกล่าวไปพูดคุยในกลุ่มคนเร่ร่อนไร้บ้านที่สนามหลวงและคลองหลอด ไม่น่าเชื่อที่ คนเร่ร่อนไร้บ้านสนามหลวงขันอาสาที่จะมาลงแรงเพื่อสร้างบ้านให้โดยไม่คิดค่าตอบแทน หรืออะไรเป็นการตอบแทนเลยแม้แต่น้อย และหลังจากที่คนเร่ร่อนไร้บ้านเริ่มไปลงแรงสร้างบ้านได้ระยะหนึ่ง ความช่วยเหลือจากที่อื่น ๆ ก็เริ่มเข้ามา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่มีการนำเรื่องราวออกสู่สังคมโดยสื่อมวลชนรายการหนึ่ง??

        การทำงานกับคนเร่ร่อนไร้บ้านที่อิสรชนดำเนินการมาตลอดระยะเวลากว่า 5 ปี พบคำตอบหนึ่งที่ว่า โอกาสของคนในสังคมมีเท่าเทียมกัน หากคนในสังคมให้โอกาส หรือ ยอมรับในความเท่าเทียมที่แม้จะแตกต่งกันไปบ้าง และที่สำคัญต้องไม่เหยียดหยาม หรือพิพากษาคนจากข้อมูลเพียงด้านเดียว เพราะการฟังอะไร หรือ มองอะไรเพียงด้านเดียวแล้วนำมาสรุปในทันที ย่อมเกิดคามผิดพลาดได้ และหากการสรุปเอาเองในบางเรื่องเพียงด้านเดียวนั้นเป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อบุคคล หรือ กลุ่มคนที่มีจำนวนมาก การแก้ไขเรื่องราวบางเรื่องอาจจะไม่สามารถทำได้ในทันที การทำงานกับคนเร่ร่อนไร้บ้านด้วยความใกล้ชิดและลงลึกในวิถีชีวิตของเขาเหล่านั้น ทำให้รู้อีกว่า สังคมไทยแท้ที่จริงแล้ว เข้าข่ายหน้าไหว้หลังหลอก หรือ ปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ เป็นส่วนใหญ่คือ ต่อหน้า อาจจะดูดีมีน้ำใจ แต่พอลับหลังไปแล้วเป็นคนละเรื่องกันไปเลย ยิ่งได้ฟังคนเร่ร่อนไร้บ้านบ่นให้ฟังถึงเรื่องราวที่เขาประสบมาด้วยแล้วยิ่งหดหู่ใจกับสิ่งที่เขาพบเจอและต้องประสบอยู่ทุกวันในชีวิตที่แม้จะเป็นชีวิตที่อิสระ แต่ก็โดนดูถูกผ่านความเห็นใจจากคนส่วนหนึ่งในสังคม 

       ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน ในความหมายของคนเร่ร่อนไร้บ้าน ก็น่าจะถือได้ว่า อะไรที่ผ่านมาแล้วเป็นเรื่องร้าย ๆ ไม่นาน เรื่องดีดีจะน่าจะผ่านเข้ามาบ้าง แต่ไม่ว่าเรื่องดีดี หรือเรื่องร้าย ๆ  ที่ผ่านเข้ามา หรอจะผ่านเข้ามาก็ตาม ควรที่จะให้โอกาสพิสูจน์ตัวเองว่า อะไรคืออะไร ก่อนที่จะด่วนสรุปเอาเองโดยไม่พิจารณาให้รอบคอบ เพราะคนเรา ไม่แน่ในวันข้างหน้า อาจจะต้องจำเป็นมาขอความช่วยเหลือกับคนที่คุณดูถูกหรือเคยทำร้ายเขาไว้ก็เป็นได้ใครจะไปรู้แล้วถึงวันนั้นคุณจะทำหน้าตำตัวอย่างไร ??

หมายเลขบันทึก: 110168เขียนเมื่อ 10 กรกฎาคม 2007 10:16 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 19:23 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท