Dear my lovely solomon,
France is the neighbor of Germany. Nice to know that you have relative in France. I knew your lovely mom from your comments in some articles. You love and care your mom very much. I feel it.
You had started your school since 3.5 years, incredible boy....it means you are genius. It is very nice for me to know that there is an english programme there. It is very nice for you to listen from different pronounciations/teachers.
All the best and enjoy your class. It's very nice to know you.
What is your favorite subject in school?
Have a nice day.
P'Meng
สวัสดีครับพี่บางทราย
สวัสดีค่ะ
ดิฉัน จบตรี และ โท เกษตร
จะบอกว่า ตอนเอนทราน ก็เลือกมันเป็นอันดับสุดท้ายนะคะ (เผื่อไม่ได้อะไร)สุดท้ายก็ได้เรียนเกษตรจริงๆ
ถ้าถามว่า ชอบมั้ย ก็ไม่ชอบ เฉยๆ
แต่เรียนไป เรียนไป ก็ดี ตอนเรียนไม่อะไรมากมาย
กลับบ้านใครถามว่าไปเรียน มข เรียนคณะอะไร ก็ ไม่อยากตอบนะ ว่าเรียนเกษตร เพราะเคยได้ยิน ประมาณว่า
....เรียนทำไม เรียนเกษตร ไม่เรียนก็ทำนาเป็น...
คนอีสาน อยากให้ลูกลาน เรียนครู เรียนหมอ ตำรวจ
เรียนอะไรฉันไม่รู้ ฉันรู้แต่ว่า จบมาจะไปสอนที่ใหน คำถามมีแค่นี้จริงๆ
แต่ตอนนี้ดีใจนะคะ ที่ผ่านมาการเรียนเกษตร ทำให้เรารู้จักที่จะให้ รักธรรมชาติ ไม่ได้ตักตวงเอาผลประโยชน์ให้ตนอย่างเดียว
ทำให้เรารู้จักความพอดี และอยากพัฒนาเกษตรกรไทยให้มีวธีคิด และมุมมองดี ต่อวิชาชีพเกษตร
ยังอยากให้อาชีพชาวนา คู่กับประเทศไทยต่อไป
อยากให้เค้าถ่ายทอดอารมณ์คววามรัก ความชอบ อาชีพชาวนา ให้กับลูกหลานเค้าต่อไป
บางที อาชีพชาวนาบ้านเรามันอาจจะไม่มีแล้วก็เป็นได้
สวัสดีครับคุณกาเหว่า
ที่โรงเรียนชาวนา สุพรรณบุรี เขากำหนดพันนี้ครับ
จบประถม คือชาวนา ที่เลิกใช้ยาฆ่าแมลงได้
จบมัธยม คือชาวนา ที่เลิกใช้ปุ๋ยเคมีได้ หมายถึงว่ารู้จักวิธีบำรุงดิน และมีความรู้สร้างปุ๋ยใช้เองได้
จบมหาวิทยาลัย คือชาวนา ที่สามารถผลิตพันธุ์ข้าวเองได้ ผสมพันธุ์ข้าวเองได้
ตอนผมเรียนเกษตรในระดับมหาลัย มีเหตุการณ์ที่แปลก คือ ในสายเอ็นสะท้าน นั้น เด็กคณะเกษตรปี 1 ค่อนข้างจะสับสนในชีวิตหลายคน คืออย่างนี้ครับ ระหว่างเรียนก็ลาออกไปบ้าง พอจบเทอมก็เตรียมตัวเอ็นกันใหม่ เพราะว่าอะไร?
เพราะตอนสมัยนั้น การสอบเข้ามหาลัย เขามีลำดับการเลือกคณะที่เลือกเข้า ท้ายสุด คือ คณะกันเหนียวเข้าเรียนมหาลัยเอาไว้ก่อน คณะเกษตร จึงเป็นคณะกันเหนียว สิ้นปีการศึกษา เด็กหายไปหลายคน ไปเรียนที่อื่นอีก
อีกเหตุการหนึ่ง คือ ในระดับวิทยาลัย เด็กเกษตรจำนวนไม่น้อยที่จบออกไป ต้องไปเป็นเซลล์แมนขายเคมีภัณฑ์ อาหารสัตว์ ปุ๋ยเคมี อีกหลายคน ก็ไปเป็นพนักงานขายในร้านสะดวกซื้อ
เหตุการณ์เล็กๆ (แต่มีมาก) คงเป็นดัชนีบางอย่างว่า ทำไมโลกยิ่งพัฒนา ภาคเกษตรกรรม ยิ่งแย่
คงไม่ใช่เพราะวิธีเรียน วิธีสอนเพียงอย่างเดียว แต่ยังโยงไปถึงความคิด ความเชื่อ ของคนในสังคม (ส่วนใหญ่) ที่เป็นแรงผลักให้เกิดปรากฏการณ์แบบนี้ ถ้าลูกบ้านไหนเรียนจบมา แล้วกลับมาทำเกษตรที่บ้าน จะถูกมองว่าเป็นคนที่ไม่มีเกียรติ ไม่เหมือนลูกบ้านที่เขาจบแล้ว ไปทำงานในสำนักงานดูดี มีเกียรติ
การศึกษาภาคเกษตร เลยต้องกลายเป็น "วิชาแพะ" ไปเสียนี่
ประเทศไทยมีสถาบันการศึกษาภาคเกษตรกรรม กี่แห่ง กี่คณะ กี่ภาควิชา แต่ละปีผลิตบัณฑิตจำนวนกี่คน
approach ของการจัดการหลักสูตรของแต่ละสาขาอาชีพ จึงน่าจะต้องต่างกัน คนเรียนเกษตร เรียนแบบเดียวกับนักเรียนสาขาการตลาด มันเลยออกมาแปลกๆ เพราะว่ามองอะไร เป็นกำไร-ขาดทุนไปหมด
ลองมองลูกเกษตรกร ที่มีใจอย่างทำเกษตรอย่างพ่อ แต่ไม่มีปัญญาเรียน เพราะพ่อไม่มีปัญญาส่ง ให้โอกาสเด็กพวกนี้ ติดอาวุธวิธีการพัฒนาภาคเกษตรจริงๆ (ไม่ใช่เรียนเพราะใบปริญญา) ให้พวกเขา เชื่อมโยง"วิชาของพ่อ" ที่บ้าน กับ "วิชาครู" ที่โรงเรียน แล้วส่งกลับเข้าชุมชนที่เขามา และไม่ลืมที่จะใช้กิจกรรมของพวกเขาเป็นฐานการเรียนรู้ ของนักเรียนรุ่นต่อๆไปด้วย น่าจะลดคำถามที่ว่า "จะมีซักกี่ครุย ที่ลุยโคลน" มาติดเอาไว้ที่หน้าสถานศึกษาอีก
เข้าซอยไปลึกเลย อาจจะไม่ตรงประเด็นบันทึกของเม้งแบบตรงๆนะครับ
"ผมเรียนวิทย์ - คณิต , พื้นฐานเกษตร" เพราะสมัยนั้นรับรู้มาว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยต้องเรียนตามแนวนี้ ก็เราคนบ้านนอกไม้รู้ประสาอะไรก็เลยจำต้องเรียนในสายวิทย์ฯ จนจบ ม.6
อันที่จริงผม "ปึก" (ไม่เก่ง) คณิตศาสตร์เป็นอย่างมาก แต่เรียนก็ไม่เคย "ติดศูนย์" ..และเอาดีไม่ได้ในเรื่องตัวเลข (จนบัดนี้) ..แต่ตอนเรียน ม.4 เริ่มค้นพบตัวเองจึงรู้ว่าชอบด้านศิลปะ...อ่าน ๆ เขียน ๆ ...พอสอบเข้ามหาวิทยาลัยโควตาภูมิภาค เลยหันเหชีวิตไปสอบสายศิลป์.....สบายกว่ากันเยอะครับ....
.....
แต่ภาษาอังกฤษ...ผมไม่ได้เรื่องเหมือนกัน...
สวัสดีครับพี่พนัส