[อ่าน : หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง จุดที่ 3]
เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2550 ในช่วงบ่าย ดิฉันและทีมงานได้ไปจัดเก็บข้อมูลหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง จุดที่ 4 ตำบลบางเจ้าฉ่า อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง ในการทำงานดังกล่าวเราก็ได้มีการแบ่งบทบาทหน้าที่กันอย่างไม่เป็นทางการ หมายความว่า พอถึงเวลาแค่สะกิดและบอกสั้น ๆ เราก็ทำงานได้แล้ว อาทิเช่น อาจารย์บำเพ็ญ เขียวหวาน วาดรูปเครื่องมือ 3 ห่วง 2 เงื่อน ขึ้นกระดาษฟาง แล้วมาบอกดิฉันว่า "เก็บข้อมูลใช้เครื่องมือนี้นะ" แล้วอาจารย์ก็ไปทำหน้าที่ชวนคุยชวนพูดกับแกนนำเกษตรกรต่อ ส่วนข้อมูลและเนื้อหาออกมาเป็นเช่นไร ดิฉันก็จับประเด็นและจัดลงกล่องเครื่องมือดังกล่าวเอง และเมื่อเสร็จสิ้นการ สนทนา ทีมงานอาจารย์ก็จะโยนเวทีมาให้ดิฉันสะท้อนข้อมูลให้กับชาวบ้านฟัง เพื่อปรับแก้และเพิ่มเติมข้อมูล ซึ่งเนื้อหาสาระของหมู่บ้านนี้มีรายละเอียด คือ
จากการจัดเก็บข้อมูลจะเห็นได้ว่า
1) กระบวนการถอดบทเรียน ได้เริ่มจาก
ขั้นที่ 1 ทีมงานบอกที่มาที่ไปของการมาครั้งนี้ มีคนที่เกี่ยวข้องคือ
(1) วุฒิอาสา จะมาช่วยถอดบทเรียน ซึ่งคนเหล่านี้มาจาก "คลังสมอง" ที่เป็นปราชญ์ชาวบ้าน
(2) จากกรมส่งเสริมการเกษตร มาร่วมเรียนรู้
(3) มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เป็นผู้รับผิดชอบงาน
ขั้นที่ 2 วัตถุประสงค์ของการทำงานครั้งนี้ คือ เพื่อถอดบทเรียนที่ เป็นรูปธรรม แล้วนำมาจัดระบบข้อมูลเป็นกรณีตัวอย่าง "เรื่องหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อถวายในหลวงในวันที่ 5 ธันวาคม 2550" และจัดทำเป็นเอกสารและสื่อเพื่อเผยแพร่
ขั้นที่ 3 ชวนชาวบ้านคุยชวนชาวบ้านเล่า โดยวุฒิอาสา และทีมจากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เป็นคนชวนสนทนา เริ่มตั้งแต่
(1) เกษตรกรเล่าภาพรวมของชุมชน
(2) เกษตรกรเล่าความเป็นอยู่ของคนในชุมชน
(3) เกษตรกรเล่าถึง "การใช้กระบวนการพัฒนาของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" ที่ชุมชนได้ปฏิบัติให้เห็นเป็นรูปธรรม
(4) เกษตรกรอธิบายการใช้เศรษฐกิจพอเพียง ตาม 3 ห่วง 2 เงื่อน ให้ฟังที่เป็นผลจากการปฏิบัติจริง ๆ
(5) ร่วมกันค้นหา "ปราชญ์ชาวบ้าน...ภูมิปัญญา" ที่มีอยู่ในชุมชน
(6) วุฒิอาสา ที่ดูแลและประสานงานหมู่บ้านนี้ ได้เล่าสิ่งที่ ตนทำเองแล้วได้ผล "มาแลกเปลี่ยน...ตามประเด็นที่เห็นว่า...ต้องไขข้อข้องใจ หรือจุดอ่อนให้กับหมู่บ้านนี้"
ขั้นที่ 4 สะท้อนข้อมูลสู่ชุมชน โดยคนจับประเด็นตาม 3 ห่วง 2 เงื่อน สะท้อนข้อมูลให้กับเกษตรกรฟัง
ขั้นที่ 5 สรุปเรื่องราวที่มาทำร่วมกับเกษตรกร และงานที่จะทำกันต่อไป ได้แก่ เรื่องที่ 1 ค้นหาคนที่จะมาช่วยจัดเก็บข้อมูล คือ "ผู้วิจัยชุมชน" เรื่องที่ 2 จัดเก็บข้อมูลเป็นครัวเรือน และ เรื่องที่ 3 การประมวลและสรุปข้อมูล
2) กระบวนการสร้างชุมชน ความเป็นหมู่บ้านนั้นได้มีการพัฒนามา คือ ก่อนปี 2515 ชาวบ้านจะทำไร่ทำนาและหาปลากินและเป็นรายได้ให้กับครอบครัว แม่บ้านจะสานไม้ไผ่ไว้ใช้เอง อาชีพหลักคือทำนา ความเป็นอยู่แบบพอเพียงอยู่กันได้และปลูกผักไว้กิน ในปี 2515 มีหน่วยงานภายนอกเข้ามาร่วมพัฒนาคือ พัฒนาชุมชน มีการจัดตั้งกลุ่มเพื่อพัฒนารูปแบบจักรสาน และมีกลุ่มทอผ้าเกิดขึ้น ในปี 2520 กลุ่มจักรสานเริ่มมีปัญหาทางด้านการพัฒนารูปแบบและลวดลาย ในปี 2535 ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจักรสานไม้ไผ่ ในปี 2538 เริ่มมีการส่งออกขายต่างประเทศ และมีการพัฒนารูปแบบ ในปี 2539 ปรับเปลี่ยนอาชีพจากการทำนามาทำจักรสาน ประมาณ 80 % และความเป็นอยู่ของชาวบ้านดีขึ้น หลังปี 2539 มีชาวต่างประเทศเข้ามาท่องเที่ยว รู้จักทำตลาดด้วยตนเอง พัฒนาจักรสารให้ดีขึ้นประณีตขึ้น มีการจัดการและบริหารกลุ่ม
ซึ่งการทำผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะใช้มือทำและมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง ส่วนรายได้หลักจะมาจากการส่งออกผลิตภัณฑ์จักรสานไม้ไผ่ แล้วยังเชื่อมโยง ไปสู่เครือข่ายอาชีพท่องเที่ยวที่นำเงินเพิ่มรายได้เข้าสู่ชุมชนโดยเกิดกลุ่มต่าง ๆ ขึ้น ได้แก่ กลุ่มจักสาน กลุ่มแปรรูป กลุ่ม Home Stay (ปี 2546) กลุ่มแม่ครัวชุมชน (ใช้ผักปลอดสารพิษมาเพิ่มมูลค่า) กลุ่มรถบริการ (รถที่ใช้ทำนาแล้วจอดทิ้งไว้) กลุ่มผู้นำชม กลุ่มไม้ผลตามฤดูกาล (มะปราง/กะท้อน/มะม่วง/อื่น ๆ) กลุ่มกองทุนหมู่บ้าน (ออมทรัพย์) กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และกลุ่มเศรษฐกิจพอเพียง (กำลังเกิดขึ้น) ทางด้านรายจ่ายของเครือเรือน ประมาณ 100-150 บาท/วัน (4-5 คน/ครัวเรือน)
ส่วนการลดรายจ่ายในครัวเรือนที่ทำคือ ปลูกผักกินเองจึงทำให้คนส่วนใหญ่อายุยืนเพราะกินผักปลอดสารพิษ มีการช่วยเหลือคนที่ช่วยตนเองไม่ได้ เช่น คนพิการ ผู้สูงอายุ และมีการอยู่ร่วมกันแบบสังคมเครือญาติ
3) กระบวนการเป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง ความอยู่รอดของชุมชนนั้นเริ่มแรกมาจากอาชีพทำนา แล้วปรับมาเป็นอาชีพจักรสาน หลังจากนั้นได้เพิ่มอาชีพท่องเที่ยวเกษตรขึ้นมาเพื่อเป็นรายได้ให้กับครอบครัวและหมู่บ้าน มีการลดรายจ่ายในครัวเรือนโดยการปลูกผักกินเองและยังเป็นการรักษาสุขภาพ และกำลังริเริ่มจัดตั้งกลุ่มเศรษฐกิจพอเพียงขึ้นมาเพื่อเป็นเวทีสร้างความเข้าใจ เชิญชวนคนที่สนใจเข้ามารวมกันเพื่อทำกิจกรรมที่เน้นชีวภาพ และเน้นกิจกรรมที่ลดรายจ่ายในครัวเรือน ดังนั้น จึงสรุปเป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง ได้ว่า
(1) ความพอประมาณ ได้แก่ ทำอาชีพหัตกรรมจักรสานไม้ไผ่เป็นอาชีพหลักโดยใช้ฝีมือคน ใช้ทรัพยากรในหมู่บ้าน เพิ่มรายได้และลดรายจ่าย (ปลูกผัก/น้ำยาสระผม/อื่น ๆ) ปรับอาชีพหลักเป็นอาชีพเสริมและปรับอาชีพเสริมเป็นอาชีพหลัก (จากทำนาเป็นหลักมาเป็นจักรสานเป็นหลัก) มีการบริหารจัดการอาชีพเพื่อสร้างงานและเพิ่มรายได้ (มีตลาด/กลุ่ม) และคนในหมู่บ้านมีงานทำและมีรายได้
(2) ความมีเหตุมีผล ได้แก่ ทำอาชีพกันเป็นกลุ่มกิจกรรม ลดรายจ่ายในครัวเรือนและเพิ่มรายได้ให้กับชุมชน การตัดสินใจทำอะไรจะศึกษาข้อมูลวิเคราะห์และตัดสินใจ มีการจัดทำฐานข้อมูล (บัญชีรายรับ-รายจ่าย) และการอนุรักษ์ทรัพยากรไม้ไผ่เพื่อเป็นรายได้
(3) มีภูมิคุ้มกัน ได้แก่ อยู่กันแบบเครือญาติ มีเอกลักษณ์การ
จักรสานเป็นของตนเอง มีการใช้ภูมิปัญญาเพื่อให้ชาวบ้านมีรายได้ มีแผนชุมชน มีกลุ่มกิจกรรมต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงเป็นเครือข่าย มีการออมทรัพย์ ทำงานร่วมกันและแลกเปลี่ยนกัน นำเรื่องการจักรสานเข้ามาเป็นหลักสูตรของโรงเรียน มีการสร้างผู้นำรุ่นใหม่ (เยาวชน) การอนุรักษ์ทรัพยากรไม้ไผ่ และคนในชุมชนอยู่เย็นเป็นสุข
(4) มีความรู้ ได้แก่ ภูมิปัญญาการจักรสาน เช่น เรื่องการขึ้นลาย เรื่องการออกแบบ เป็นต้น และการอนุรักษ์ทรัพยากรไม้ไผ่ การจัดการตลาด จักรสารประณีต การจัดการกลุ่ม และเป็นศูนย์เรียนรู้ระดับประเทศและต่างประเทศ
(5) มีคุณธรรม ได้แก่ ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ฝึกวินัยตนเองให้รู้จักการออมและมัธยัสถ์ ยึดประเพณีวัฒนธรรม (รวมญาติ/ขอพรผู้สูงอายุ/อื่น ๆ) มีความเอื้ออาทรและอยู่กันแบบเครือญาติ และปลูกฝังค่านิยมและความมีคุณธรรมให้คนรุ่นหลัง
ก็เป็นเนื้อหาสาระที่ได้ไปถอดบทเรียนของหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง เป็นจุดที่ 4 มาให้ท่านได้อ่านกันค่ะ.
[อ่าน : หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง จุดที่ 5 บ้านหนองกระอิฐ จังหวัดสุพรรณบุรี]
สวัสดีครับอ.จือ ผมมาแวะเยี่ยมครับ ขอบคุณมากที่แบ่งปัน