วานนี้..ดิฉั้น list รายการงานค้างนำคุยเล่าสู่กับผู้ที่กำกับดูแล..แน่หล่ะการที่เราจะคุยกับใครเราหวังผลว่า....จะเป็นไปตามที่เรามุ่งหวังก่อนการคุย...ผ่านฉลุย...ว่างั้นเถอะ..
ครั้งนี้ดิฉั้นเตรียมตัวล่วงหน้าก่อนคุยเพราะทุกครั้งที่จะไปเจอผู้ที่อุดมไปด้วยตบะ บารมี ดิฉั้นมักจะลืม ขั้นตอน ลืมลำดับเรื่อง หมดเลยทำให้การนำเสนอดูสับสน พาลให้คู่สนทนาไม่อยากฟัง เรียกว่าแพ้ตบะ
ครั้งนี้ดิฉั้นตั้งใจเตรียมตัว list เป็นเรื่องๆ ว่าเรื่องนี้ต้องการคุยประเด็นนี้...ความเห็นดิฉั้นเป็นอย่างนี้มีข้อดีมีข้อเสีย...โดยไม่มีตัวกำกับในใจว่าผลต้องเป็นแบบนี้เช่นเคยปฏิบัติ....
เวลาผ่านไป...ทำให้ดิฉั้นเรียนรู้ว่าจะคุยกับใครก็ตาม..".อย่าตั้งต้นด้วยความคิดที่ว่าต้องเป็นไปตามที่เราคิดไว้" เราเพียงทำหน้าที่นำเสนอสิ่งที่เราคิดหรืออยากให้เป็น ให้ครบถ้วนอย่างเป็นลำดับอย่าให้ตกหล่นในแต่ละเรื่องพูดให้จบทีละเรื่องพูดจบแล้วต้อง"ฟัง"คู่สนทนา "ฟัง"อย่างลึก ทีละเรื่องทีละประเด็น"ปรับใจเรื่องการฟัง"..จะช่วยลดความมุทะลุที่เกิดจากอยากให้เป็นดังที่หวังลงในกรณีที่ผิดก็ยอมรับผิดแต่โดยดีโดยไม่โทษสิ่งรอบกาย"ทำไมเรื่องนี้ช้าเขาเสนอมาตั้งหลายวันแล้ว" หนูมัวแต่ทำสิ่งอื่นค่ะเนื่องจากเป็นประเด็นละเอียดอ่อนรอสมาธิจนลืมไป"ขอโทษค่ะ" การยอมฟังคู่สนทนาฟังโดยไม่มีอคติใดๆ
ผลคือบรรยากาศการสนทนาในครั้งนี้ดีอย่างผิดหูผิดตาไม่เกิดการต่อกร...คัดง้างใดๆ..มีรอยยิ้มตลอดการสนทนาแทนภาพหน้านิ่วคิ้วขมวด จากเดิมที่หลังจากคุยกันทีไรก็จะมีคำเตือนอย่างรักใคร่อยู่เนืองๆ..."คุณต้องลดความดื้อลงหน่อย....ฟังบ้าง..."
เรื่องนี้คุณจิ๊บเขียนให้น้องหนิงอ่าน.......ฮา........
วันนี้เขียนได้ตรงกับใจที่อยากสื่อจริง ๆ ค่ะ
ต่างฝ่ายต้องต่างเรียนรู้ที่จะฟังกัน ถ้าผู้ใหญ่ไม่ฟัง เราก็ต้องเป็นผู้ฟังที่ดี และใช้จังหวะที่ดีในการนำเสนอ...เป็น trick เล็ก ๆ ที่บางครั้งก็ไม่สามารถถ่ายทอดให้เข้าใจได้ แต่สิ่งที่อยากบอกคือ การรู้กาลเทศะ รู้ที่จะช่วงชิงโอกาสเมื่อผู้ใหญ่หยิบยื่นให้ ให้เป็นประโยชน์ในการนำเสนอเพื่อพัฒนางานค่ะ
เห็นด้วยกับคุณอึ่งอ๊อบค่ะ และขอบคุณคุณจิ๊บที่เอายุทธวิธีมาถ่ายทอดเป็นคำพูดได้อย่างละเอียดละออ เรื่องนี้เราน่าจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ค่ะ บางคนก็โชคดีเรียนรู้ได้เร็ว ไม่เผาผลาญตัวเองไปเสียก่อนจากความไม่ได้อย่างใจที่อยากให้อะไรๆเป็นอย่างที่เราต้องการ
พี่โอ๋ก็ได้เรียนรู้จากการทำงานกับคนหลายๆบุคลิกลักษณะว่า หากเราเอาตัวเราเป็นที่ตั้ง เราจะทำร้ายตัวเราเอง แต่หากเราเปิดใจรับผู้คนแบบที่เขาเป็น และชื่นชมส่วนดีที่เขามีก็จะทำให้ทั้งเราทั้งเขาต่างคนต่างก็มีความสุข ต่างคนต่างก็เปลี่ยนไปสู่ลักษณะที่ดีขึ้น เห็นจริงๆค่ะว่า ถ้าเรามองแต่สิ่งที่ดี ชื่นชมสิ่งที่ดี ส่วนที่ไม่ค่อยดีก็จะค่อยๆปรับเปลี่ยนไปดีได้ แต่ถ้าเรามุ่งจะแก้ส่วนที่ไม่ดี มักจะไม่ค่อยเป็นผล เสียแรงเสียความรู้สึกค่ะ เขียนยาวไปไหมนี่
คุณสมพร ขอบคุณค่ะที่มาเติมเต็ม...
สวัสดีค่ะ
อ่านเรื่องของคุณเมตตามาหลายบันทึก ดูว่าเป็นคนเอาจริงเอาจังมาก และมุ่งมั่นนะคะ
พออ่านบันทึกนี้ ค่อยโล่งอกว่า ค่อยคลายน๊อตลงบ้างแล้วค่ะ
อย่างนี้เขาเรียกว่า อยู่ในข่าย Perfectionistไหมคะ