"แม่" 'ทั้งที่เป็นคนผิวขาว ผิวดำ และผิวเหลือง ล้วนมี "ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข (Unconditioned Love)"ให้กับลูกไม่ว่าลูกจะดี-ชั่วอย่างไร อีกทั้งยังมีความห่วงใยคอยให้การปกป้องคุ้มครองไม่ให้ภยันตรายใดๆ มาแผ้วพานลูกน้อย แม้แต่สัตว์ป่าก็ยังมีสัญชาตญาณ (Instinct) ดังกล่าว แต่นอกเหนือจากการปกป้องคุ้มครองและเลี้ยงดูลูกให้เติบใหญ่จนสามารถพึ่งตนเองได้แล้ว แม่ที่เป็นมนุษย์ยังต้องมีบทบาทสำคัญเพิ่มเติมไปจากสัตว์ นั่นก็คือ "บทบาทในการปลูกฝังอบรมเพื่อให้ลูกเป็นพลเมืองดีของสังคม"
ด้วยอายุปูนนี้และการมีครอบครัวเป็นของตนเอง ทำให้ฉันมีประสบการณ์ทั้งการเป็น "ลูกของแม่" และเป็น "แม่ของลูก" และมีเรื่องราวหลากหลายจากการสวมบทบาทดังกล่าว จึงขอนำเรื่องที่เกิดขึ้นมาเป็นเรื่องเล่าเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับ "กัลยาณมิตรชาว GotoKnow" ตามคำเชิญชวนของ "คุณมะปรางเปรี้ยว" โดยจะเน้นการเล่าประสบการณ์ที่ประทับใจและยังคงตราตรึงอยู่ในใจของฉันตราบเท่าทุกวันนี้
ในบทบาทของการเป็น "ลูกของแม่" นั้น ฉันเป็นลูกของ "คุณครูสุวรรณ แพงคำ" (ภาพบนซ้าย) แม่มีลูก 5 คน ตอนที่พ่อซึ่งเป็นครูใหญ่เสียชีวิต พี่สาวคนโตของฉันอายุ 12 ปีกำลังเรียนชั้นม.ศ.2 พี่สาวคนที่ติดกับฉันอายุ 6 ปียังไม่เข้าเรียน ฉันเองอายุ 4 ปี น้องชายคนติดกับฉันอายุ 2 ปี และน้องชายคนสุดท้องเพิ่งคลอดได้ 20 วัน เมื่อพ่อจากไป แม่ต้องรื้อบ้านขนย้ายทั้งทางเกวียนทางเรือและทางรถกลับไปปลูกใหม่ที่บ้านเกิดของพ่อแม่ ชีวิตแม่ตอนนั้นลำบากอย่างแสนสาหัส ฉันต้องไปนั่งเรียนกับพี่คนติดกันที่เข้าเรียนป.1 ในโรงเรียนของหมู่บ้าน เพราะไม่มีคนดูแล น้องคนที่ติดกับฉันซึ่งเจ็บป่วยขอให้เจ้าอาวาสที่วัดช่วยเลี้ยงดู และแม่นำน้องคนสุดท้องไปโรงเรียนด้วย ขณะที่สอนก็ผูกเปลกับเสาโต๊ะทำงานและเสาห้องเรียนให้ลูกนอน สอนไปด้วยไกวเปลไปด้วย บางครั้งฉันขอตามแม่ไปโดยอ้างว่าจะไปช่วยไกวเปลน้อง ฉันรักแม่มากอยากไปอยู่ใกล้แม่มากกว่าไปนั่งเรียนกับพี่ เวลาน้องหลับฉันจะได้ออกไปวิ่งเล่นที่สนามหน้าโรงเรียน ซึ่งถูกใจฉันมากกว่าการไปนั่งนิ่งๆ พับเพียบเรียบร้อยในที่ที่จำกัด ไม่ทราบด้วยเหตุใดที่ทำให้ฉันได้เข้าเรียนชั้นป.1 ก่อนอายุถึงเกณฑ์ ส่งผลให้ฉันไม่มีสิทธิสมัครสอบบรรจุเข้ารับราชการครูในปีที่จบ ป.กศ. เพราะฉันเพิ่งจะอายุ 17 ปีเต็ม คนที่มีสิทธิสมัครต้องอายุ 18 ปีเต็มขึ้นไป พี่ลูกคนโตของน้า (คนที่เป็นครู) ที่เข้าเรียนและจบพร้อมฉันอายุ 20 ปี (ฉันสอบเข้าเรียนได้ตอนเรียน ม.ศ.3 แต่พี่เพิ่งสอบได้จากการสอบครั้งที่ 3 ในตอนที่เรียนม.ศ.5)
ในวัยเด็ก ฉันถูกตีบ่อยๆ ด้วยความดื้อรั้นในการขอติดตามแม่ ในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ แม่มักจะเข้าป่าแต่เช้ามืดเพื่อเก็บเห็ดบัวไปทำเป็นอาหาร ซึ่งฉันก็จะขอตามแม่ไปแแม่ก็ไม่อนุญาต เพราะการมีเด็กไปด้วยจะทำให้เป็นภาระต้องดูแลทำให้เก็บเห็ดไม่ทันคนอื่นๆ แต่พอคล้อยหลังแม่สักพักฉันก็จะย่องตามหลังแม่ไปทุกครั้ง ครั้งหนึ่งแม่ต้องมัดมือไขว้หลังผูกฉันติดกับเสาใต้ถุนเรือน ฉันร้องไห้ดิ้นรนจนสุดท้ายหลุดจากพันธนาการออกไปได้หลังจากที่แม่ออกไปนานแล้ว แต่ฉันก็ยังตามไปควานหาแม่ในป่า เมื่อไม่พบก็ไม่ยอมกลับบ้านจนบ่ายคล้อยข้าวเช้า-กลางวันก็ไม่ได้กิน แม่ต้องกลับเข้าไปตามหาฉันในป่าซึ่งกว่าจะพบก็ตะวันตกดินพอดี ถึงบ้านแล้วด้วยความน้อยใจแม่ฉันแผลงฤทธิ์ต่อโดยไปซ่อนตัวในโพรงไม้ แม่และพี่สาวคนโตต้องจุดไต้ตามหาฉันแต่ก็ไม่พบ ฉันเห็นท่าไม่ดีคิดว่าวันนี้อดข้าวเย็นอีกแน่ ข้าวเช้า-กลางวันก็ไม่ได้กิน แต่จะออกไปง่ายๆ ก็เสียเชิง ได้โอกาสก็ตอนที่แม่บ่นว่าไม่ใช่งูเงี้ยวกัดมันตายแล้วหรือ ผสมกับที่ฉันรู้สึกกลัวงูขึ้นมาจริงๆ เลยร้องกรี๊ดทำให้แม่เห็นที่ซ่อนตัวของฉัน แม่กระชากตัวฉันออกจากโพรงไม้ แน่นอนว่าฉันถูกแม่ตี แต่ก็คุ้มกับที่ได้กินแกงเห็ดและมีที่นอนสบายๆ แทนการคุดคู้อยู่ในโพรงไม้ทั้งคืน
ฉันเป็นลูกคนเดียวที่ช่วยแม่หาบของไปแลกข้าวเปลือก-ข้าวสารในหมู่บ้านใกล้-ไกล (พ่อแม่ฉันไม่มีที่นา เพราะพ่อเป็นลูกคนเดียวที่รับราชการ จึงไม่ยอมแบ่งมรดกที่นาจากปู๋-ย่า และแม้ตา-ยายของฉันจะมีที่นามาก แต่แม่ก็ไม่รับมรดก ที่นาจึงตกแก่น้องสาวของแม่ที่คนหนึ่งเป็นครูอีกคนค้าขายและอยู่กับยาย ซึ่งได้จ้างคนทำนาได้ข้าวปีละมากมาย พี่คนโตเล่าให้ฟังว่า ตอนพ่อยังอยู่ครอบครัวเรามีฐานะดี พ่อเริ่มทำกิจการโรงสี เรือยนต์ และเลี้ยงวัวควายนับร้อยตัว แต่ตอนที่พ่อล้มป่วยอยู่หลายเดือน คนที่ดูแลกิจการต่างๆ แทนพ่อ ฉ้อโกงทำให้ทรัพย์สินดังกล่าวสูญไปเกือบหมด แม่จึงมีแค่เงินบำนาญของพ่อซึ่งน้อยมากเพราะพ่อเคยลาออกจากราชการไปทำธุรกิจ แล้วกลับเข้ารับราชการใหม่ยังไม่นาน) ตอนที่ฉันเรียนชั้นประถมปลายในเมือง พี่ทั้งสองและฉันเช่าห้องยายอยู่ พี่คนโตเป็นครูโรงเรียนเอกชนเงินเดือนน้อยมาก เสาร์อาทิตย์ฉันกับพี่คนติดกันต้องไปขุดหอย-หน่อไม้ไปทำอาหารเพื่อลดค่าใช้จ่าย เวลาแกงหน่อไม้หม้อหนึ่งๆ จะกินยาวไปเป็นอาทิตย์ ฉันจะสพายกล่องข้าวเหนียวใบโตไปเรียน ตอนเที่ยงก็ซื้อส้มตำอย่างเดียว นานๆ ทีจะมีเงินพอซื้อเนื้อทอด แปลกตรงที่ฉันต้องทำหน้าที่เก็บ-จ่ายเงินที่แม่ให้ใช้เป็นรายเดือน แทนที่จะเป็นหน้าที่ของพี่ทั้งสอง ฉันมีเทคนิคในการทำให้มีเงินใช้จนถึงสิ้นเดือน คือเมื่อเห็นเงินร่อยหรอทำท่าว่าจะไม่พอใช้ถึงสิ้นเดือน ฉันก็จะบอกพี่ๆ ว่าเงินยังเหลือน้อยกว่าที่เป็นจริง เพื่อให้ทุกคนช่วยกันประหยัดมากขึ้น ซึ่งก็ได้ผลทุกครั้ง พี่คนโตแต่งงานตอนฉันเรียนม.ศ.1 แม่ได้ลงทุนให้ลูกเขยเปิดร้านตัดเสื้อผ้าชายและให้น้องๆ ไปอยู่ด้วย ฉันเองมีหน้าที่ไปจ่ายตลาดและทำกับข้าวเลี้ยงคนทั้งบ้านรวมทั้งช่างเย็บผ้า โดยช่วยกันทำกับพี่คนติดกัน น้องชายคนเล็กชมว่า ฉันใช้เงินจำนวนน้อยแต่ซื้อของทำอาหารได้หลายอย่าง และเพียงพอกับคนกิน
แม่ภูมิใจที่ได้ชื่อว่ามีลูกเรียนเก่ง ตอนที่ฉันเรียนในหมู่บ้าน เพื่อนที่เป็นลูกชาวนาบางคนมีหนังสือเรียนแต่ฉันกลับไม่มี ฉันสอบไล่จบป.4 ได้ที่ 1 ของตำบล และเมื่อไปเรียนชั้นป. 5 ในเมือง ฉันก็สอบไล่ได้ 98 % เป็นที่ 1 ของ อ.ยโสธร (มีคณิตศาสตร์วิชาเดียวที่ฉันไม่ได้เต็ม คนที่ได้เต็มคือ ดช.ยุ่ง ลูกคนเวียดนามที่เป็นเจ้าของร้านขายนาฺฬิกา) พื้นฐานการศึกษาของฉันแย่มาก เพราะตอนเรียนชั้นป.6-ม.ศ.3 ฉันเรียนในโรงเรียนเอกชนที่พี่สาวเป็นครู ซึ่งตอนแรกมีครูเก่งๆ หลายท่าน ลูกนายอำเภอก็ยังเรียนที่นั่น แต่ตอนหลังคุรูเก่งๆ ลาออกไปรับราชการ และมีนักเรียนลาออกตาม ตอนเรียนชั้นม.ศ. 3 ฉันมีเพื่อนแค่ 6 คน ได้เรียนเพียง วิชาประวัติศาสตร์ เรขาคณิต และวาดเขียน พี่ให้ย้ายไปเรียนโรงเรียนของรัฐแต่ฉันไม่ไปเพราะสงสารเพื่อน สุดท้ายก็ต้องย้ายไปเรียนที่โรงเรียนยโสธรพิทยาคม ในภาคเรียนที่ 2 เพราะโรงเรียนเก่าปิดกิจการ ฉันเรียนที่โรงเรียนดังกล่าวเพียงภาคเรียนที่ 2-3 ตอนหลังทางโรงเรียนขึ้นป้ายว่า ฉันเป็นคนแรกของจังหวัดยโสธรที่จบการศึกษาระดับปริญญาโท (จบปี 2519) ตอนที่เรียนจบประกาศนียบัตรวิชาการศึกษา (ป.กศ.) จากวิทยาลัยครูอุบลฯ ฉันได้รับคัดเลือกให้เรียนต่อป.กศ.สูง ประเภทเรียนดีในวิชาเอกภาษาอังกฤษ และเมื่อจบป.กศ.สูง ฉันก็ได้รับคัดเลือกให้เรียนต่อปริญญาตรี (กศ.บ.) ประเภทเรียนดีในวิชาเอกภาษาอังกฤษ ที่วิทยาลัยวิชาการศึกษา มหาสารคาม และตอนที่เรียนปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ฉันก็ได้รับทุนเรียนดีแต่ขัดสนเป็นครั้งแรก (ก่อนนั้นเคยขอทุนมาตลอดแต่ไม่เคยได้ เพราะผู้พิจารณาให้ทุนเห็นว่าฉันเป็นลูกครูเลยสรุปว่าฉันไม่ขัดสน) และตอนสอบบรรจุเข้ารับราชการที่วิทยาลัยครูสุรินทร์ฉันก็สอบได้ที่ 1 ความเป็นอยู่ที่ขัดสนมากกว่าลูกชาวนา (บางคน) ของฉัน เห็นได้จากการที่ฉันต้องนุ่งผ้าถุงที่แม่ทอให้ไปเรียนชั้นป.1-ป.3 ในขณะที่ลูกชาวนาบางคนนุ่งกระโปรง ตอนเรียนในเมืองจนจบม.ศ.3 ฉันใช้รองเท้ายางราคาถูก แม่ซื้อรองเท้าหนังให้เป็นคู่แรกตอนที่ฉันไปสอบป.กศ. แต่กลับเป็นทุขลาภเพราะรองเท้ากัดจนฉันต้องเดินกะเผลกๆ ไปสอบด้วยความทรมาน และตอนเข้าเรียนป.กศ.ใหม่ๆ ฉันมีผื่นขึ้นเต็มตัว จากการตรวจวินิจฉัยของหมอสรุปว่า ฉันแพ้ยางมะละกอที่สะสมในร่างกายเป็นเวลานานและขาดสารอาหาร (โปรตีน) เพราะหมอซักประวัติได้ข้อมูลว่า ฉันกินส้มตำเป็นอาหารกลางวันโดยแทบไม่ได้กินเนื้อติดต่อกันถึง 6 ปี
แม่ไม่เคยอบรมจริยธรรมให้กับลูกๆ แต่ที่หน้าห้องครัวจะมีข้อความที่เขียนด้วยลายมืออันสวยงามของแม่ว่า "จงชนะความชั่วด้วยความดี" และที่สำคัญแม่ปฏิบัติตามข้อความที่เขียนไว้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ทำให้ฉันซึมซับค่านิยม "การชนะความชั่วด้วยความดี" โดยไม่รู้ตัว ดังคำกล่าวที่ว่า "ตัวอย่างทีดีมีค่ามากกว่าคำสอน" ในภายหลังฉันได้ปฏิบัติตามค่านิยมดังกล่าวโดยตลอด จนคนรอบข้างมองว่าฉันโง่ ยอมให้คนเอารัดเอาเปรียบและทำร้ายอยู่ฝ่ายเดียวโดยไม่ตอบโต้ เมื่อถูกกระทำฉันจะมองว่า ผู้ที่กระทำต่อฉันเป็นผู้ที่ยังอ่อนด้อยสมควรได้รับการให้อภัย และฉันก็ให้อภัยบุคคลเหล่านั้นเสมอมา แม้ครอบครัวของฉันจะขัดสนแต่แม่ก็มีความเอื้อเฟื้อและใจบุญสุนทาน แม่ปลูกผักสวนครัวและดอกไม้บูชาพระที่ใช้กันทั้งคุ้ม เวลาใครเดือดร้อนขอยืมเงินแม่ก็ให้ยืมทั้งที่พวกเราเองอยู่อย่างกระเบียดกระเสียร แม่เป็นโยมอุปัฏฐายิกาทำปิ่นโตไปจังหันทุกเช้า เวลามีงานบุญแม่ก็จะทำบุญมากกว่าน้า (ที่เป็นคนร่ำรวยของหมู่บ้าน) ถึง 3-4 เท่า แม่เป็นแบบอย่างของความขยันมัธยัสถ์และการอยู่อย่างพอเพียง แม่ไม่เคยอยู่เฉย จันทร์-ศุกร์ ตอนเช้าแม่จะออกจากบ้านแต่เช้ามืดแล้วกลับมาพร้อมด้วยของสำหรับทำอาหาร แล้วแม่ก็ทำกับข้าวสำหรับใส่ปิ่นโตไปจังหันและรับประทานในครอบครัว เสร็จแล้วก็เตรียมตัวไปโรงเรียน กลับจากโรงเรียนแม่ก็ทอผ้าซึ่งมีทั้งผ้าถุงฝ้าย-ไหมมัดหมี่ และผ้าตัดเสื้อ ฉันเป็นลูกที่ใช้ผ้าทอฝีมือของแม่มากที่สุด ดังตัวอย่างภาพบนกลาง ผ้าถุงที่ฉันนุ่งและเสื้อที่ฉันใส่มาจากผ้าทอมือของแม่ที่ฉันเองได้ช่วยทอด้วย ส่วนพี่คนติดกับฉันเธอจะซื้อกางเกงนุ่ง แม่มีเสื้อผ้าชุดทำงานไม่กี่ชุด เสื้อผ้าที่ใช้เวลาเข้าเมืองหรือมีงานบุญก็มาจากผ้าที่แม่ทอเอง ตอนที่พี่สาวคนติดกันกับฉันเรียนป.กศ.ปีที่ 2 ฉันเรียนปีที่ 1 แม่จะให้เงินเราใช้เดือนละเท่าๆ กัน แต่พี่จะเงินไม่พอใช้ทุกเดือนเพราะเธอใช้เงินเก่ง (ซื้อเสื้อผ้า) แล้วเธอก็จะไปขอแบ่งเงินจากฉันโดยบอกว่า แม่บอกว่า ถ้าใครหมดก่อนก็ให้ไปขอแบ่งจากอีกคน ซึ่งฉันก็ให้เธอไปทุกครั้งเพราะฉันมีเงินเหลือใช้ทุกเดือน ฉันจะกลับบ้านเพื่อไปเยี่ยมแม่ทุกเดือน โดยจะซื้อของที่แม่ชอบกินไปฝากแม่ทุกครั้ง ฉันจะกลับเย็นวันศุกร์ รถประจำทางจะจอดให้ฉันลงเวลาทุ่มกว่าๆ ฉันต้องเดินเท้าเข้าหมู่บ้านระยะทาง 2.8 กม. บ่อยๆ ที่เป็นคืนเดือนมืดในหน้าฝน น้ำท่วมทางเดิน ฉันต้องใช้เท้าขวาค่อยๆ คืบไปข้างหน้าตรวจสอบว่าไม่มีหลุมไม่มีร่อง แล้วจึงก้าวเท้าซ้ายตามไป บางครั้งฉันก็ตกคันนาล้มคว่ำเปียกไปทั้งตัว แต่ฉันก็ทนได้เพราะมีกำลังใจที่จะได้กลับไปพบหน้าแม่ เห็นแม่ยิ้มแย้มลงบันไดมาโอบกอดฉันด้วยความยินดีเมื่อฉันกลับถึงบ้าน และรับประทานสิ่งที่ฉันนำไปฝากอย่างเอร็จอร่อย
ด้วยเห็นแม่ทนสู้เพื่อลูกๆ มาโดยตลอด เมื่อจบปริญญาโท (ที่ฉันหาเงินเรียนด้วยตนเอง ทั้งจากการสอนภาษาอังกฤษตามบ้าน ได้ทุนเรียนดี กู้เงินธนาคาร และสุดท้ายต้องออกไปเป็นอาจารย์อัตราจ้างอยู่ 2 ภาคเรียนเพื่อหาเงินพิมพ์ปริญญานิพนธ์) ได้รับราชการและมีความเป็นอยู่ดีขึ้น ฉันจึงบอกกับแม่ว่า เมื่อแม่เกษียณอายุราชการ ขอให้แม่ไปอยู่กับฉันเพื่อที่ฉันจะได้มีโอกาสปรนนิบัติแม่ชดเชยกับที่ฉันมีเวลาอยู่กับท่านน้อยมาก แต่แล้วฉันก็ไม่มีโอกาสทำตามที่ใจปรารถนา เพราะแม่ได้จากไปในเดือนกุมภาพันธ์ 2527 หลังเกษียณไม่กี่เดือน การต่อสู้ดิ้นรนทุกวิถีทางของฉันเพื่อยืดอายุของแม่ไม่เป็นผล (ภาพบนขวาเป็นภาพที่ฉันและลูกทั้งสองไปร่วมจัดงานฌาปนกิจศพท่าน) ด้วยแรงบันดาลใจที่กล่าวมา ฉันจึงสร้าง Blog "Pridetoknow" ขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึงและเทิดพระคุณแม่ "แม่สุวรรณ แพงคำ" แม่ผู้ไม่เคยได้รับการเชิดชูจากทางการให้เป็น "แม่ดีเด่น" แต่แม่เป็น "ยอดคุณแม่" ในใจของฉันตลอดกาล
แม้จะ "รักลูกทั้งสองยิ่งชีวิต" แต่ฉันก็สอบตกในการทำหน้าที่ "แม่ของลูก" อยู่หลายครั้ง ขอเริ่มฉากแรกของการเป็นแม่ในวันที่ฉันไปคลอดลูกคนแรกด้วยน้ำหนัก 49 กก. เพิ่มขึ้นจากก่อนตั้งครรภ์แค่ 7 กก. ทำให้พยาบาลเข้าใจผิดจูงมือคนที่พาฉันไปคลอดเข้าห้องคลอดแทนที่จะจูงมือฉัน ขณะที่ลูกคลอดในตอนเช้าตรู่ของวันที่ 4 มกราคม ฉันเห็นดาวกระพริบระยิบระยับพร่างพราย (ฉันไม่ได้บอกว่าภาพที่เห็นเป็นดาวที่จุติจากฟ้ามาเกิดเป็นลูกของฉันหรอกนะ แต่เป็นดาวที่เกิดจากความเจ็บปวดของฉันต่างหาก) ฉันเหลือบตาดูเห็นหมอที่ทำคลอดจับขาลูกให้หัวห้อยลง เป็นลูกสาวที่ตัวขาวมาก ผมสั้นเกรียนสีทอง หมอคุยกับฉันว่า ลูกน้ำหนัก 2.7 กก. แต่แข็งแรงดีมาก น้ำหนักของแม่แม้จะเพิ่มขึ้นน้อยกว่าค่าเฉลี่ยแต่ก็ไปอยู่ที่ตัวลูกเกือบทั้งหมด ดีกว่าแม่บางรายที่น้ำหนักเพิ่มถึง 20 กก. แต่ไปอยู่ที่ตัวแม่เป็นส่วนใหญ่ พ่อเห่อลูกสาวมากตั้งชื่อเล่นให้ว่า "จ๊ะเอ๋" แต่ฉันเรียกว่า "ลูกเอ๋" ฉันตั้งชื่อจริงให้ลูกโดยนำพยัญชนะ "ป" และ "ส" จากชื่อพ่อ และ "ล" จากชื่อแม่ ไปใช้ในการตั้งชื่อลูกว่า "ปราณสลิล" แปลเอาความว่า "น้ำหล่อเลี้ยงชีวิต" หมายความว่า ลูกมีความสำคััญดุจดังน้ำที่หล่อเลี้ยงให้แม่มีชีวิตอยู่ได้ เมื่อลูกเอ๋เข้าเรียนชั้นประถม มัธยม และอุดมศึกษา ครูอาจารย์ที่เรียกชื่อเป็นครั้งแรก มักจะบอกว่า เธอมีชื่อเพราะสมตัว ชื่อแปลกไม่ซ้ำใคร แล้วถามถึงความหมายของชื่อและผู้ที่ตั้งชื่อให้ ซึ่งเธอก็จะตอบครูอาจารย์ด้วยความภาคภูมิใจทุกครั้ง ต่อมาอีกปีสี่เดือนฉันก็ไปคลอดลูกคนที่สอง ครั้งนี้ทุกคนรวมถึงพยาบาลทายว่าฉันจะได้ลูกสาวอีก โดยสังเกตจากหน้าตาของฉันว่าสดใสไม่หมองคล้ำและท้องแหลม พ่อของลูกที่ขับรถพาฉันไปคลอดก็ทายแบบเดียวกัน มีฉันคนเดียวที่คิดว่าน่าจะเป็นลูกชายเพราะในเดือนที่ 8 ฉันแทบจะนอนไม่ได้ เพราะลูกเคลื่อนไหวรุนแรงบ่อยมากราวกับชกมวยอยู่ในท้อง แต่ละครั้งก็ทำให้ท้องฉันขึงตึงและเจ็บปวด หลังจากเห็นดาวกระพริบระยิบระยับอีกครั้งหนึ่งในตอนกลางคืนของวันที่ 15 พฤษภาคม (ใครๆ ว่าคลอดครั้งที่สองจะเจ็บน้อยลง แต่ทำไมฉันยังเห็นดาวและเจ็บปวดไม่ต่างจากการคลอดครั้งแรก) ฉันเหลือบดูเห็นภาพในมือคุณหมอเป็นเด็กผู้ชายผิวเข้ม ผมดกดำ หมอบอกว่าน้ำหนักลูกคนนี้ 2.9 กก. ฉันตั้งชื่อเล่นให้ลูกชายว่า "ลูกตั้ม" และตั้งชื่อจริงให้ว่า "ปราปต์" แปลเอาความว่า "สำเร็จ" ฉันและพี่สาวทั้งสองจะมีลูกสาวผิวขาวและลูกชายผิวคล้ำ ฉันเวทนาลูกตั้มก็เวทนาขำก็ขำที่วันหนึ่งฉันอุ้มแกอยู่ที่หน้าบ้าน เพื่อนอาจารย์ที่กลับจากไปเรียนปริญญาโทที่กรุงเทพฯ ถามว่าฉันอุ้มลูกใคร เมื่อฉันตอบว่าอุ้มลูกตัวเอง เพื่อนก็ไม่เชื่อ (ทุกคนจะนำลูกตั้มไปเทียบกับลูกเอ๋ซึ่งเด็กทั้งสองจะมีรูปลักษณ์ต่างกันมาก) ฉันคุยกับลูกเล่นๆ ว่า ที่พี่เอ๋ผิวขาวคงเป็นเพราะเกิดตอนกลางวัน และที่น้องตั้มผิวเข้มคงเป็นเพราะเกิดตอนกลางคืน และเมื่อลูกโตพอที่จะรับรู้ว่าสิ่งที่ฉันพูดเป็นโจ๊ก ฉันก็ล้อเลียนลูกว่า พี่เอ๋เป็นชาวญวนอพยพส่วนน้องตั้มเป็นชาวเขมรอพยพที่แม่นำมาอุปการะ ในตอนหลัง อาจารย์จากสุรินทร์เห็นหน้าลูกตั้มตอนเป็นหนุ่มจะบอกว่า "โตขึ้นหล่อไม่เบานะนี่" ทำให้ลูกตั้มของฉันยิ้มออก
ภาพแถวบน ซ้ายสุดเป็นภาพที่ยายสุวรรณร้อยพวงมาลัยดอกจำปา (ลีลาวดี) ให้ลูกเอ๋ลูกตั้มห้อยคอในช่วงที่ไปพักอยู่กับยายปี 2525 โดยมีหลานทั้งสองยืนรำอยู่ข้างๆ ภาพกลางเป็นภาพหลานๆ ที่ห้องโถงบ้านยายสุวรรณ คนที่ใส่เสื้อสีฟ้าเป็นลูกสาวสุดท้องของพี่สาวคนโตของฉัน คนขวาสุดคือลูกเอ๋ ที่เหลือ 3 คนเป็นลูกของพี่สาวที่ติดกับฉัน และภาพขวาสุดพี่ปุ๊กอุ้มน้องตั้ม ภาพแถวล่าง ซ้ายสุดเป็นภาพลูกเอ๋และลูกตั้มบริเวณบ้านเช่าที่จ.อุบลฯ (หลังจากที่พ่อเปี๊ยกจากไปแล้ว) พร้อมด้วยพี่ๆ ลูกของพี่สาวชุดเดิม และน้องๆ ลูกน้องชายคนที่ติดกับฉัน (เด็กสองคนที่ตัวเล็กสุดในภาพ) ซึ่งไปอาศัยอยู่กับฉัน ภาพกลางและภาพขวาสุดเป็นภาพลูกเอ๋และลูกตั้มในปี 2548 นำมาเทียบกับภาพซ้ายให้เห็นว่าลูกๆ โตขึ้นจากตอนที่พ่อเปี๊ยกจากไปแค่ไหน
ภาพซ้ายพ่อเปี๊ยกและลูกเอ๋ลูกตั้มที่หน้าบ้านยาย และภาพขวาพ่อเปี๊ยกไปเที่ยวหาดคูเดื่อที่อุบลฯ พร้อมกับลูกเอ๋ลูกตั้มและครอบครัวพี่สาวคนติดกันกับฉันซึ่งอยู่ที่อุบลฯ ด้วยกัน (ในปี พ.ศ. 2526) วิกฤติชีวิตของฉันเริ่มจากการเสียชีวิตของแม่ ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกหดหู่และหมดพลังที่จะทำงานที่เดิมต่อไป ความรู้สึกอ้างว้างทำให้ฉันอยากไปอยู่ใกล้พี่ใกล้น้อง จึงไปทำเรื่องขอย้ายไปทำงานที่วิทยาลัยครูอุบลฯ ท่านอธิการบอกว่าย้ายได้ ฉันได้เข้าไปถามย้ำเพื่อให้เกิดความมั่นใจถึง 3 ครั้ง ท่านก็ยืนยันคำตอบเดิม ฉันจึงทำเรื่องย้ายลูกเอ๋ที่เรียนจบชั้นอนุบาล 1 ที่รร.อนุบาลสุรินทร์ไปเข้าเรียนชั้นอนุบาล 2 ที่รร.อนุบาลอุบลฯ ส่วนลูกตั้มสอบเข้าเรียนชั้นอนุบาล 1 ที่ร.ร.อนุบาลสุรินทร์ได้แล้วแต่ร.ร.อนุบาลอุบลฯ ไม่รับเพราะอายุไม่ครบ 4 ปีเต็มในวันเปิดเรียน ฉันจึงได้ติดต่อให้ลูกตั้มเรียนที่โรงเรียนเอกชน แล้วฉันก็ได้ไปเช่าบ้านหลังใหญ่เพราะต้องรับครอบครัวของน้องชายคนติดกับฉันไปอยู่ด้วยตามที่ได้รับปากกับแม่ไว้ตอนที่แม่ป่วยหนัก เพราะแม่ห่วงน้องคนนี้มาก เนื่องจากมีชีวิตที่ตกระกำลำบากอยู่ทางใต้ เงินไม่พอใช้ต้องขอเงินแม่อยู่บ่อยๆ ตอนที่น้องเข้าไปอยู่ที่บ้านเช่าที่ฉันเช่าไว้ พบว่าน้องมากับภรรยา ลูก 2 คน และยังมีในท้องแม่อีกคน ฉันต้องรับภาระค่าใช้จ่ายทุกอย่างในการกินอยู่ของครอบครัวน้องเพราะพวกเขามีแค่กระเป๋าเสื้อผ้าติดตัวมา พ่อเปี๊ยกได้ไปซื้อที่ดินที่บ้านเกิดของตนห่างจากเมืองอุบลฯ ไม่ถึง 20 กม. เพื่อเตรียมให้น้องของฉันทำกิจการโรงสีขนาดเล็กและเลี้ยงสัตว์ และพ่อเปี๊ยกได้ทยอยขนย้ายข้าวของจากสุรินทร์ไปที่อุบลฯ แต่แล้วในวันที่ 19 เมษายน 2527 หลังจากแม่ของฉันจากไปได้ 2 เดือน 12 วัน ขณะที่ฉันกำลังสอนภาคฤดูร้อน ก็มีคนนำลูกตั้มที่เสื้อเปื้อนเลือด (ไม่มีกางเกง) ริมฝีปากไม่มีสีเลือดไปส่งให้ฉัน และแจ้งว่าพ่อของลูกถูกยิงเสียชีวิต เมื่อได้ยินข่าวนั้นฉันก็รู้สึกว่าโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ ฉันคว้าลูกไปโอบกอดด้วยความเวทนาลูกและรู้สึกมึนงง พ่อเปี๊ยกเพิ่งขับรถออกจากสุรินทร์ได้ 14 กม.โดยมีลูกตั้มนั่งดื่มนมกล่องอยู่ข้างๆ คนเลี้ยงควายบอกว่ามีรถขับตีคู่แล้วกราดยิงจนรถพ่อลูกพรุนไปทั้งคัน แล้วคนยิงยังตามลงไปยิงซ้ำที่รถอีก ที่ลูกรอดเพราะพ่อใช้ตัวเองทับลูกไว้ พนักงานโรงพยาบาลสุรินทร์ได้ช่วยให้ลูกที่สลบฟื้นขึ้นมา โถลูกยังบอกที่ทำงานของแม่ได้ (ขอบคุณพ่อเปี๊ยกที่ปกป้องลูกไว้พอเป็นกำลังใจให้ฉันมีแรงสู้ชีวิตต่อไป)
เรื่องยังไม่จบแค่นั้น ต่อมาฉันทราบว่าฉันไม่ได้ย้าย ฉันเริ่มจะสุดทนจึงลั่นวาจาว่า ถ้าฉันไม่ได้ย้ายฉันจะลาออก (ฉันเป็นคนพูดจริงทำจริง) แล้วฉันก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปติดต่อฝ่ายการเจ้าหน้าที่ (กจ.) กรมการฝึกหัดครู เจ้าหน้าที่บอกฉันว่า เรื่องมันจบแล้ว อาจารย์ไม่ได้ย้ายแน่ๆ ไม่ว่าจะอย่างไรก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ กลับไปเสียเถอะ ฉันไม่ยอมแพ้ ได้ไปพบหน้าห้องอธิบดี แล้วบอกเธอไม่ให้ตัดสินใจเองว่าจะให้ฉันเข้าพบท่านอธิบดีหรือไม่ ให้ท่านอธิบดีเป็นคนตัดสินใจเอง แล้วฉันก็ใช้กระดาษแผ่นเล็กๆ เท่าที่มีเขียนข้อความสั้นๆ ว่า ตนเองทำงานให้กรมฯ มา 7 ปีเต็ม ไม่เคยรบกวนอะไรกรมฯ วันนี้มาแบบสุนัขจนตรอก ขออนุญาตเข้าพบท่านอธิบดี แล้วก็ให้หน้าห้องนำส่ง ซึ่งท่านอธิบดีก็อนุญาตให้ฉันเข้าพบ "ท่านอธิบดีพะนอม แก้วกำเหนิด" คือ "พ่อพระในใจของฉัน" ที่ฉันขอจารึกไว้ ณ ที่นี้ ท่านได้ให้ฉันเล่าปัญหาให้ฟังและท่านก็ฟังอย่างสงบโดยไม่มีการขัดจังหวะใดๆ ทันทีที่ฉันเล่าจบ ท่านก็หยิบกระดาษเขียนสั่งการให้กจ.ทำเรื่องให้ฉันย้ายเป็นกรณีพิเศษ เจ้าหน้าที่ๆ ไล่ให้ฉันกลับไปแต่แรกคงจะเสียหน้า บ่นอุบว่าฉันเส้นใหญ่ หลังแก้ปัญหาเรื่องย้ายเสร็จฉันกลับไปแก้ปัญหาครอบครัวของน้อง จนไม่มีเวลาสำหรับความโศกเศร้า พี่ทั้งสองคนไม่ช่วยฉันเพราะมีเหตุขัดใจกับน้องคนนี้ ต่างก็บอกให้ฉันเลิกอุปการะน้องเพราะเหตุการณ์เปลี่ยนไปจึงไม่จำเป็นต้องทำตามที่ได้รับปากแม่ไว้ แต่ฉันไม่ทำตาม รถที่ถูกยิงเพิ่งดาวน์และผ่อนได้ไม่กี่เดือนก็ต้องคืนบริษัทไป ได้เงินคืนมาบ้าง โรงสีที่สั่งซื้อไว้ต้องบอกยกเลิกและเสียค่ามัดจำไปทั้งหมด ที่ดินที่ซื้อไว้ก็คืนญาติไปแต่ไม่ได้เงินคืน ฉันซื้อรถสามล้อเครื่องเก่าให้น้องขับรับคนโดยสาร พบว่าต้องซ่อมรถทุกวัน ฉันต้องจ่ายทั้งค่าซ่อมและค่าน้ำมันรถ วันหนึ่งฉันมีอาการชาไปทั้งตัว ไปหาหมอ หมอซักประวัติและวินิจฉัยว่า อาการของฉันเป็นผลมาจากความเครียดสะสม ต่อมาฉันขายสามล้อเครื่องไปซื้อสามล้อถีบให้น้อง ตอนนั้นพี่ๆ เริ่มเข้ามาช่วยบ้างเพราะเห็นว่าฉันไม่ไหวจริงๆ เพราะฉันเองมีฐานะแค่พออยู่พอกิน ส่วนพี่ทั้งสองฐานะดีกว่ามาก สุดท้ายก็ต้องให้น้องออกไปเช่าบ้านราคาถูกอยู่แล้วฉันและลูกไปอยู่บ้านพักข้าราชการเพราะรับภาระค่าเช่าบ้านไม่ไหว (เบิกไม่ได้) ก็ยังไม่วายที่ฉันจะถูกอาจารย์หัวหน้าฝ่ายอาคารฯ หลอกให้ใช้เงินส่วนตัวซ่อมบ้านพักไปก่อน บอกจะเบิกเงินให้ภายหลัง แต่พอฉันไปตามเรื่องก็ได้รับคำตอบว่าได้ใช้งบประมาณไปหมดแล้ว
ฉันพยายามดูแลลูกๆ เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านจิตใจของน้องตั้ม และด้วยไม่อยากให้ลูกเป็นโรคขาดสารอาหารเหมือนที่ตนเองเคยเป็น ฉันจึงให้ลูกได้รับประทานอาหารที่มีคุณค่าครบและในปริมาณที่พอเพียงทุกวัน (ลูกทั้งสองดื่มนมแม่) ฉันส่งเสริมการเรียนรู้ของลูกโดยดูแลเวลาลูกทำการบ้านทุกเย็น เล่านิทานให้ลูกฟังก่อนนอน และพาลูกเล่นปริศนาคำทายโดยให้คิดคำทายขึ้นมาเอง อย่างเช่น ตอนที่น้องตั้มเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 น้องตั้มทายว่า อะไรเอ่ยใส่เสื้อก็ได้ ใส่กางเกงก็ได้ พี่เอ๋ทายว่า กระเป๋าเสื้อผ้า แม่ทายว่า ตู้เสื้อผ้า น้องตั้มบอกว่าผิด และเฉลยว่า "คน" ลูกทั้งสองชอบไปโรงเรียนมาก การขู่ที่ได้ผลคือขู่ว่า "ถ้าลูกไม่...แม่จะไม่ไปส่งที่โรงเรียน" การปลูกฝังคุณลักษณะที่พึงประสงค์นั้น ฉันใช้วิธีสะสมแต้ม โดยกำหนดเกณฑ์ว่าการทำดีแต่ละอย่างจะได้กี่แต้ม และเมื่อลูกสะสมแต้มได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ก็สามารถนำแต้มที่มีอยู่ไปแลกเป็นเงินเพื่อซื้อสิ่งของตามที่ต้องการได้ ฉันได้ฝึกให้ลูกทำงานบ้าน โดยไม่ได้จ้างพี่เลี้ยงตั้งแต่ลูกเอ๋เรียนชั้นป. 3 และลูกตั้มเรียนชั้นป. 2 ฉันเองมีหน้าที่ซักผ้า ลูกตั้มเก็บผ้าจากราวมาพับ และลูกเอ๋รีดผ้าชุดนักเรียนของตนเองและของน้อง ของแม่แม่รีดเอง การทำความสะอาดบ้านช่วยกันทั้ง 3 คน อาหารไม่ค่อยได้ทำ เพราะฉันเหนื่อยจากการทำงานอย่างทุ่มเทอาทิตย์ละ 7 วัน ฉันจึงซื้ออาหารถุงเป็นส่วนใหญ่ เลยทำให้ลูกของฉันทำอาหารไม่เป็น ครั้งหนึ่งที่ฉันไปราชการที่กรุงเทพฯ ลูกอยู่ที่บ้านกันตามลำพัง ลูกเอ๋ที่กำลังเรียนป.5 โทรศัพท์เล่าให้ฉันฟังว่า เธอได้ทำข้าวต้มสูตรใหม่โดยใส่ผักบุ้งและซอสพริกลงไปด้วย แต่ทำเสร็จตัวเองชิมดูแล้วก็กลืนไม่ลง ตักให้น้องตั้มกินน้องกินแล้วก็อ้วก เลยเอาไปเทให้สุนัขข้างบ้านกิน สุนัขดมๆ แล้วก็เดินหนี สำหรับการล้างถ้วยชามนั้นให้ลูกทั้งสองคนช่วยกัน ลูกอาจารย์ที่บ้านติดกันนึกสนุกไปช่วยล้าง แม่ของเธอตะโกนบอกว่า "น้องแตง ไม่เอา สกปรก ล้างมือ เข้าบ้าน" ซึ่งการทำเช่นนั้นก็เท่ากับว่า เป็นการสอนลูกให้รังเกียจงานบ้านนั่นเอง
บทบาทของแม่ที่ฉันสอบตกและสะท้อนใจทุกครั้งที่นึกถึง ก็คือ การบ้างานจนลืมลูก ตอนที่คลอดลูกเอ๋ฉันลาคลอดเพียงหนึ่งอาทิตย์ ตอนที่ลูกตั้มเรียนชั้นอนุบาล 2 ลูกเอ๋เรียนชั้นป.1 ลูกตั้มเป็นโรคไข้เลือดออกหมอบอกอยู่ในขั้นโคม่า พอลูกตั้มพ้นขีดอันตราย ฉันก็จูงลูกสาวไปทำงานด้วยในวันหยุดราชการ ขากลับฉันเห็นลูกหน้าซีด ริมฝีปากเขียว รีบพาไปหาหมอ หมอบอกว่าคนนี้หนักกว่าน้องอีกจวนจะช็อคอยู่แล้ว ขอบคุณคุณหมอไชยยันต์จริงๆ ที่ช่วยลูกฉันไว้ทั้ง 2 คน อีกครั้งหนึ่งที่ฉันรีบไปเปิดงานปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ และบอกลูกว่า เปิดเสร็จแม่จะซื้ออาหารเช้ามาให้ (ตอนนั้น ลูกๆ อยู่บ้านกันตามลำพังเพราะเลิกจ้างพี่เลี้ยงแล้ว) เสร็จแล้วฉันก็ทำงานติดพันจนลืมลูก เกือบเที่ยงลูกไปหาฉันที่ห้องประชุมทวงถามถึงอาหารเช้า...ลูกจ๋าแม่ขอโทษ...ความแย่ของฉันยังมีอีก ตอนที่ลูกตั้มเรียนชั้นม.5 ประสบอุบัติเหตุถูกรถชนขาหักขณะเกาะอยู่ท้ายรถสองแถว ลูกเข้าเฝือกไปเรียนไม่ได้ฉันยังให้ลูกช่วยพิมพ์งาน
ในวัยเด็กลูกของฉันมีบุคลิภาพและความถนัดต่างกัน พี่เอ๋ขี้อ้อน ขี้สงสาร รักสวยรักงาม เพื่อนบ่นว่าหยิ่ง เต้นประกอบเพลงเก่ง ทักษะกีฬาด้อย (ปัจจุบันเป็นผู้ใฝ่ธรรม-ดูขัดกับการแต่งกาย) น้องตั้ม ซุกซน มีอารมณ์ขัน พูดเพราะเป็นที่เอ็นดูของครู เป็นต้นแบบของนักเรียนอื่นในกิจกรรมการบริหารร่างกาย และเป็นนักกีฬาฟุตบอล (จนถึงปัจจุบัน) ทั้งสองคนเรียนได้เกรด 4 ทั้งหมดในระดับประถม และเกือบทั้งหมดในระดับมัธยม ลูกๆ ทำชื่อเสียงให้กับโรงเรียน โดยลูกเอ๋ได้โล่รางวัลชนะเลิศจากการแข่งขันทางวิชาการหลายรายการ เป็นนักเรียนในโครงการช้างเผือก 1 ใน 2 คนของโรงเรียนที่มีชื่อเสียงที่สุดในจังหวัดอุบลฯ และ Ent' ติดคณะแพทย์ฯ ม. ขอนแก่น ลูกตั้มสอบ Pre-ม.ต้นได้อันดับ 1 ของจังหวัด อันดับ 2 ของอีสาน และ Ent' ติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้ในปีที่เรียนชั้นม.5 (สอบเทียบม.ปลายหลักสูตรของกศ.น.) ทั้งที่มีอุบัติเหตุ 2 ครั้ง และลาเรียนเกือบ 2 เดือน ฉันซาบซึ้งใจที่สุดในวันแม่ปีที่ลูกเอ๋เรียนป.6 ลูกตั้มเรียนป.5 ซึ่งลูกแอบช่วยกันปัก "Cross Stitch" ในห้องหนังสือมาเป็นอาทิตย์ ฉันเปิดประตูเข้าไปตอนจวนหกทุ่มพบลูกตั้มกำลังปัก ลูกบอกว่าทำส่งครู พอหกทุ่มครึ่งลูกๆ ก็นำผลงานที่ช่วยกันปักไปมอบเป็นของขวัญวันแม่ ...ขอบคุณสวรรค์ที่ให้ชีวิตของฉันมีลูกทั้งสองเป็นพลังใจ (ภาพล่างเป็นกิจกรรมของฉันกับลูกๆ ในปี 2554)
ตอนเข้าเรียนใหม่ๆ ฉันเป็นผื่นเต็มตัว จากการตรวจวินิจฉัยของหมอสรุปว่า ฉันเป็นโรคแพ้และขาดสารอาหาร (โปรตีน) หมอซักประวัติได้ข้อมูลว่า ฉันกินส้มตำเป็นเวลานานโดยแทบไม่ได้กินเนื้อ ทำให้ยางมะละกอสะสมในร่างกายมากเกินไป
อาจารย์เขียนบันทึกละเอียดดีจังคะ
มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย อ่านแล้วสนุก
แล้วจะมาปูเสื่อฟังตอนต่อไปคะ :-)
"จงชนะความชั่วด้วยความดี"
"ตัวอย่างทีดีมีค่ามากกว่าคำสอน"
พระคุณของแม่ เป็นบรมธรรม
คือพระอรหันต์ ยิ่งใหญ่ในโลกา
แม่..คือผู้สร้างโลก ให้พ้นโศกด้วยปัญญา
ขอบพระคุณครับอาจารย์
สวัสดีค่ะ
แวะมาอ่านบันทึกนี้ค่ะ
อ่านบันทึกนี้แล้วรู้สึกได้ถึง
ความรักจากผู้เป็นแม่ค่ะ
ขอบคุณสำหรับบันทึกที่น่าประทับใจบันทึกนี้นะคะ
ขอบคุณค่ะ^_^
สวัสดีค่ะท่าน'ผศ.วิไล' เป็นบันทึกที่มีคุณค่ามากค่ะ อ่านแล้วตื้นตันใจ...ร้องไห้...มองเห็นภาพ... เพราะเป็นคนที่รักแม่มากเหมือนกัน และแปลกที่จะเหมือนกันตรงที่ชอบตามแม่ตั้งแต่จำความได้ และเป็นคนที่บริหารจัดการเรื่องต่างๆภายในบ้าน แทนพ่อ ถ้าทางจิตวิทยาก็คือเป็นเด็ก 'Wednesday Child' แต่เรื่องเรียนคงไม่เก่งเท่าท่านผศ.นะคะ เพราะเรียนไปเรื่อยๆ โดยมีคติว่า 'ไม่ปล่อยเวลาให้หมดไปโดยเปล่าประโยชน์'ค่ะ
ผลแห่งความดีก็เป็นที่ประจักษ์นะคะ...สวรรค์มีตาค่ะ.
เข้ามาให้กำลังใจ คนทำดีย่อมได้ดีค่ะ
ขอบคุณคะ อ่านคำตอบของอาจารย์แล้ว
รู้สึกได้เลยว่า อาจารย์เป็นตัวอย่างนักฟังที่ดี ใส่ใจรายละเอียด วิเคราะห์ตรึกตรอง
จะติดตามอ่านต่อไปนะคะ ( จริงๆ คือ คลิก ติดตามการเคลื่อนไหว) แล้วคะ
อาจารย์คะ
ลำดวนอ่านด้วยความคิดถึงแม่ตัวเองไปด้วยค่ะ
แต่ตอนนี้ไม่มีแม่แล้ว
และถึงแม้ไม่มีลูกแต่ก็เข้าใจถึงคนเป็นแม่ที่รักลูกมากทุกคนค่ะ
อาจารย์แม่ค่ะ
อ่านบันทึกของอาจารย์แม่แล้วได้เรียนรู้เรื่องราวจากประสบการณ์จริงๆ เยอะแยะมากมาย ซึ่งอาจารย์แม่ใจกว้างมากๆ ที่บอกเล่าถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้ทั้งในแง่บวกและลบ เป็นการช่วยกระตุ้นให้ผู้อ่านได้ฝึกมองเห็นจุดลบที่ไม่อาจมองข้ามไป
ขอบคุณมากๆ นะค่ะ
ขอให้อาจารย์แม่มีความสุขและสุขภาพแข็งแรงๆ นะค่ะ ^^
ขอบคุณอาจารย์มากคะ ที่ไปเยี่ยม
จริงๆ แล้วส่วนหนึ่งของการเขียนบันทึกนี้ เลี้ยงลูก ลูกเลี้ยง
ได้แรงใจมาจากบันทึกของอาจารย์ด้วยคะ โดยเฉพาะช่วงที่สูญเสีย
เพราะกระติกนึกไม่ออกว่าถ้าเป็นติกแล้ว จะเลี้ยงลูกอย่างไรคนเดียว
แวะมาเยี่ยมเป็นกำลังใจนะครับ
เยี่ยมมากเลยครับ ชื่นชมนะครับ
ชอบเห็นครอบครัวอบอุ่นมากๆ เลยครับ
อยากเห็นสังคมไทยเป็นแบบนี้
แม้จะ "รักลูกทั้งสองยิ่งชีวิต" แต่ฉันก็สอบตกในการทำหน้าที่ "แม่ของลูก" อยู่หลายครั้ง ขอเริ่มฉากแรกของการเป็นแม่ในวันที่ฉันไปคลอดลูกคนแรกด้วยน้ำหนัก 49 กก. เพิ่มขึ้นจากก่อนตั้งครรภ์แค่ 7 กก. ทำให้พยาบาลเข้าใจผิดจูงแขนคนที่พาฉันไปคลอดเข้าห้องคลอดแทนที่จะจูงมือฉัน
555
แป่วน้องมาเม้นช้าไปนิ๊ดนุง
แฮ่ๆๆแต่ดีกว่าไม่มานะคะอิๆๆ
สวัสดีครับ อ.แม่..
อ่านบันทึกนี้แล้วคิดถึงชีวิตในวัยเด็กของตัวเอง :
แม่เคยทำอาหารใส่หม้อแล้วเข็นขายในหมู่บ้าน ช่วงนั้นเป็นยามค่ำ พระอาทิตย์ลับฟ้าไปแล้ว ผมมีโอกาสได้ติดตามไปช่วยแม่ สนุกและได้รสชาติของชีวิตในอีกมิติหนึ่ง หากแต่พอแม่มาขายในโรงเรียน ผมกลับรู้สึกเขินอาย-
ในยามมาเรียนที่จังหวัด พอกลับถึงบ้าน คำถามแรกที่แม่มักถามทักก็คือ "กินอะไรมาหรือยัง" ...
ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะอาจารย์
*** อ่านบันทึกนี้แล้ว ดิฉันไม่รู้จะเขียนบรรยายความรู้สึกที่มีต่ออาจารย์อย่างไรจึงจะถ่ายทอดความรู้สึกที่มีต่อครอบครัวอาจารย์ได้ ดิฉันขออนุญาตขยายผลจากการได้เรียนรู้จากบันทึกนี้ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เพื่อนและศิษย์ที่กำลังท้อแท้ ดิฉันเองก็เคยพบเจอบางบทบางตอนของชีวิตที่สาหัส แต่โจทย์ของดิฉันมีไม่มากเท่าอาจารย์ ขอชื่นชมคุณยายและคุณแม่ของน้องเอ๋และน้องตั้มว่าเป็นสุดยอดของความเป็นยอดหญิงนักสู้จริงๆค่ะ...และทั้งสองท่านเป็นแม่ดีเด่นในใจดิฉัน เพราะจะอยู่ในความทรงจำตลอดไป ขอบคุณโชคชะตาและ Gotoknow ที่นำพาดิฉันมาพบบุคคลต้นแบบที่สง่างาม .... ชื่นชมและศรัทธาครอบครัวแพงคำและแพงศรีมากค่ะ
วันดี,
ผมเร่งด่วนในความต้องการของคนที่สามารถช่วยฉันในการลงทุนกองทุนของฉันใน
ประเทศของเขาสำหรับความร่วมมือและผลประโยชน์ หากสนใจจะตอบสนอง
กลับเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ฉันจะขอบคุณการตอบสนองที่รวดเร็วของคุณในนี้
ขอแสดงความนับถือใน [email protected] กล่องของฉัน e-mail
ขอบคุณ
เฮนรี่ไซม่อน
Good Day,
I am urgently in need of someone who can help me invest my funds in
his Country for mutual cooperation and benefit. If interested respond
back for more details, I will appreciate your quick response in this
regards on my e-mail box [email protected]
Thanks
Simon Henry
สวัสดี
คุณเพิ่งถูกเปลี่ยนไปโดยธนาคารของคุณไม่นานมานี้และไม่มีที่ไหนคุณสามารถให้เงินคุณต้องการติดต่อกับพวกเราวันนี้และปล่อยให้เห็นว่าเราสามารถช่วยคุณออกไปเดียวที่ซื่อสัตย์และริคต้อนรับข้าที่จะปรับใช้บางครั้งสิ่งที่เราต้องการคือแค่อยู่รอบตัวเราและพวกเราอาจจะไม่ต้องการที่จะเข้ามากกว่านี้ต้องเรียกของเราการเงินปัญหา กับเป็นคำแนะนำที่ดีนะและทางออกที่เราเสนอให้คุณได้พักผ่อนมั่นใจว่าคุณกำลังมองออกไปจากที่นั่นแน่มุมถนนคุณพบว่าตัวเองในตอนนี้ ทุกคนคือยินดีต้อนรับสอบถามถึงการบริการของเรา.
แทนที่ตามข้อมูลด้านล่างนี้:
ชื่อ:อายุ:ที่อยู่:รัฐ:ประเทศ:หมายเลขโทรศัพท์:จำนวนมากต้องการ:กู้เงินระยะเวลา:โดยมีจุดประสงค์เพื่อเงินกู้:
ยินดีติดต่อฉันทันทีที่เป็นไปดังนั้นเราสามารถเริ่มกับคุณเงินกู้ระบวนการ
อีเมล([email protected])[email protected]
เป็นมด้วยAlbania_ districts. kgm.