บอร์ดขององค์กร ทั้งองค์กรค้ากำไรและองค์กรไม่ค้ากำไร มีพลังหรือเป็นทุนประเภทจับต้องไม่ได้ (Intangible Assets) สำหรับองค์กรใน ๔ ด้าน ได้แก่
Intellectual Capital
ทุนปัญญา (Intellectual Capital) ของบอร์ดทั้งองค์คณะ ไม่ใช่ผลบวกของทุนปัญญา ของสมาชิกแต่ละคน หากบอร์ดมีทักษะในการสร้าง synergy ระหว่างปัจเจก คือต้องมีเป้าหมายใช้ “collective brainpower” ไม่ใช่แค่ individual brainpower ที่เอามารวมกัน
ไม่ว่าในการทำหน้าที่ Type I (Fiduciary), Type II (Strategic) และ Type III (Generative) บอร์ดต้องมีวิธีใช้ทุนปัญญาของบอร์ดอย่างเป็นองค์คณะ แบบเสริมพลังกัน
มองจากมุม KM บอร์ด ต้องเป็นเสมือน Community of Practice ที่ร่วมกันทำหน้าที่ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ให้สามารถทำหน้าที่ได้ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ และความรู้ความเข้าใจในการทำหน้าที่บอร์ดในภาพรวมขององค์คณะก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น บอร์ด มีลักษณะเป็น Learning Board ยิ่งนับวันก็ยิ่งมีความชำนาญในการทำหน้าที่บอร์ดที่เป็นเสมือนวงออร์เคสตร้า
Reputational Capital
Reputational Capital จะมีคุณค่าต่อเมื่อชื่อเสียงที่ดี หรือความน่าเชื่อถือ ได้ช่วยให้เกิดการพัฒนาความสัมพันธ์ อันนำไปสู่ผลสำเร็จของกิจการ เช่นชื่อเสียงที่ดีช่วยให้หาอาจารย์เก่งๆ ได้ง่าย มีนักศึกษาเก่งๆ เข้ามาเรียน เชิญคนเก่งๆ มาเป็นกรรมการสภา ร่วมงานกับภาคอุตสาหกรรมได้ง่าย เป็นต้น
ในการหาสมาชิกบอร์ดที่มีชื่อเสียงต้องคำนึงว่าต้องการคนที่เป็นที่เชื่อถือในสังคมกลุ่มใด และต้องคำนึงถึงโอกาสที่สมาชิกสามารถทุ่มเทให้แก่การทำหน้าที่บอร์ด (trustee engagement) ดังนั้น การมีสมาชิกบอร์ดต้องคำนึงทั้งด้านชื่อเสียงและด้านความทุ่มเท ดังแผนภูมิ
จากวิธีมองสมาชิกบอร์ดตามตาราง ๒x๒ ข้างบน บอร์ดต้องมีองค์ประกอบของสมาชิกที่เป็น ซูเปอร์สตาร์ มดงาน และสัญญลักษณ์ ขององค์กรในสัดส่วนตามความเหมาะสม และต้องระมัดระวังว่า คนที่มีชื่อเสียงสูงมาก อาจมีเรื่องเสื่อมเสียเกิดขึ้นได้ง่าย ต้องระมัดระวังว่าหากเกิดเรื่องเสื่อมเสียขึ้นต่อสมาชิกบอร์ดผู้นั้น จะทำให้ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยพลอยเสื่อมเสียไปด้วยหรือไม่
ตัวอย่างของการใช้ชื่อเสียงของสมาชิกบอร์ดช่วยให้งานของมหาวิทยาลัยสำเร็จ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งต้องการดึงดูดนักเรียนระดับอัจฉริยะจำนวนหนึ่งเข้าศึกษา แทนที่อาจารย์จะเป็นผู้ไปชักชวน กรรมการสภาเป็นผู้ไปพบผู้ปกครองของเด็กถึงบ้าน โดยเลือกกรรมการที่เป็นที่รู้จักและนับถือของผู้ปกครองของเด็กแต่ละคน หรือกรรมการสภาเป็นคนที่อยู่ในสาขาวิชาที่ต้องการชักชวนเด็กมาเรียน
ชื่อเสียงของกรรมการสภามหาวิทยาลัย ช่วยให้มหาวิทยาลัยมีความสัมพันธ์กับสังคมภายนอกได้ดีขึ้น
Political Capital
หมายถึงทักษะในการแสดงจุดยืน ชักชวน หรือโน้มน้าวการตัดสินใจ โดยมีหลักการสำคัญ ๓ ประการคือ
1. เพื่อประโยชน์สูงสุดของมหาวิทยาลัย ไม่มีประโยชน์ส่วนตัวแอบแฝง
2. ใช้อย่างสมเหตุสมผล ได้แก่ : (๑) แสดงบทบาทในฐานะกรรมการสภาฯ ไม่ใช่ส่วนตัว (๒) ดำเนินการผ่านกระบวนการตามปกติและเปิดเผย ไม่ใช้วิธีลับหรือ “เข้าหลังบ้าน” (๓) สภามหาวิทยาลัยทำหน้าที่เป็น “พื้นที่” สำหรับให้ฝ่ายต่างๆ ของมหาวิทยาลัยได้เปิดเผยความต้องการ ผลปรโยชน์ และจุดยืนของตนในเรื่องต่างๆ
3. ใช้อย่างเหมาะสมกับความเป็นมหาวิทยาลัย ซึ่งมีลักษณะ (๑) เป็นองค์กรแห่งความแตกต่างหลากหลาย (๒) ไม่เน้น (และไม่ชอบ) ลำดับชั้น หรือการบังคับบัญชา (๓) เน้นการมีส่วนร่วม หรือตัวกระบวนการ พอๆ กับสาระของการลงมติ
สภามหาวิทยาลัยที่เข้าใจวิธีใช้พลังของปฏิสัมพันธ์เชิงการเมืองภายในมหาวิทยาลัยอย่างสร้างสรรค์ จะสามารถสร้างความไว้วางใจระหว่างกัน (mutual trust) ภายในมหาวิทยาลัย สร้างความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน สามารถร่วมกันตัดสินใจในเรื่องที่ไม่มีความชัดเจน หรือมีความเสี่ยงสูง แต่ก็จะสร้างความสำเร็จในมิติก้าวกระโดด ได้
ผมขอสร้างศัพท์ส่วนตัวว่า สภามหาวิทยาลัยต้องทำงานโดยใช้ politics of trust ไม่ใช่ politics of distrust ระหว่างกรรมการสภาด้วยกัน และระหว่างสภากับสมาชิกของมหาวิทยาลัย ไม่ทราบว่าคิดอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่
Social Capital
หมายถึงความสามารถในการดูดซับความรู้หรือความสามารถในการบรรลุผลสำเร็จในการดำเนินกิจการจากสังคมภายนอก หรือการมี social network กับภายนอกมหาวิทยาลัย รวมทั้งการใช้ social network หรือปฏิสัมพันธ์ภายในมหาวิทยาลัย ในการสร้างบรรยากาศสร้างสรรค์ เกิดความร่วมมือ ความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
ตัวอย่างของปัจจัยที่ทำให้เกิด social capital เช่น ความรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร ได้รับการยอมรับ รับฟัง (sense of inclusiveness), ความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน, การยึดถือคุณค่าร่วมกัน (shared values), การมีปณิธานความมุ่งมั่นร่วมกัน (shared purpose)
กรรมการสภามหาวิทยาลัยทำงานภายใต้ความสัมพันธ์เชิงสังคม (social relationship) ระหว่างกัน โดยที่ความสัมพันธ์อาจเพิ่มพูน social capital ของสภามหาวิทยาลัยก็ได้ หรืออาจทำให้ social capital ของสภาฯลดลงก็ได้ สภามหาวิทยาลัยต้องมีทักษะวิธีการที่จะทำให้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างกรรมการสภาฯ เกิดผลเชิงบวกต่อ social capital ของสภาฯ
มองเชิง generative สภาฯ ทำงานไป สร้าง social capital ไป โดยสร้างจากปฏิสัมพันธ์เชิงสังคมระหว่างกรรมการสภาด้วยกัน จากปฏิสัมพันธ์เชิงสังคมระหว่างกรรมการสภากับสมาชิกของมหาวิทยาลัย และจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างสภากับสังคมภายนอก
เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่ความสัมพันธ์เชิงสังคมจะก่อ social capital ส่วนบุคคลเป็นหลัก แต่กรรมการสภาฯ ที่ดี จะพยายามทำให้ความสัมพันธ์นั้นสร้าง social capital ของส่วนรวมทั้งมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง social capital ในการทำงานร่วมกันเป็นองค์คณะของสภาฯ แบบ generative mode หรือแบบ value-based ไม่ใช่แบบ rule-based
วิจารณ์ พานิช
๑๒ ม.ค. ๕๑
ไม่มีความเห็น