เด็กไทยเก่งคิด เก่งแสดงออก อ่อนน้อม....น่าประทับใจ


แต่ต้องไม่ลืมสอนให้เขารู้จักคิด ในแง่พอเพียง เพื่อตัวเขาเองและเพื่อประเทศไทยของเรา

วันนี้ลาพักงาน 1 วันเพื่อไปร่วมช่วยงานวันปีใหม่และงานคริสต์มาสที่โรงเรียนพี่วั้น เนื่องจากเป็นงานแรกที่พี่วั้นได้รับมอบหมายจากคุณครูให้เป็นพิธีกรชายของงาน คุณแม่ทึ่งคุณครูที่สามารถเกลี้ยกล่อมพระเอกคนนี้ได้ และงานก็ไม่ใช่สั้นๆ (คุณแม่รู้ธรรมชาติพี่วั้นจึงแปลกใจค่ะ)

ดีใจที่ไปร่วมงานค่ะ เพราะรู้สึกได้ว่าการที่ลูกเห็นเราแม้เพียงไกลๆ ก็เป็นกำลังใจที่ดี และได้บอกไว้ว่าจะไปช่วยดูและวิจารณ์แบบไม่ใช่แม่วั้น เมื่อเย็นเขาก็ดูอยากฟังความเห็นคุณแม่ค่ะ นอกจากได้ไปเป็นกำลังใจให้ลูก ได้ไปช่วยงานเครือข่ายผู้ปกครองจัดการแจกจ่ายบริการอาหาร ขนมและน้ำดื่ม แล้ว ยังได้เห็นว่าเด็กๆมัธยมสมัยนี้โดยทั่วไปเป็นอย่างไร (แม้โรงเรียนลูกจะถือว่าเป็นโรงเรียนเอกชน มาตรฐานค่อนข้างสูง)

ได้พบว่าเด็กๆกล้าแสดงออก มีความคิดสร้างสรรค์ มีพลังกันเหลือเฟือ สมควรจะมีเวทีให้พวกเขาได้ปลดปล่อยศักยภาพเช่นนี้ตั้งแต่ระดับประถม เห็นแล้วยิ่งคิดว่า โรงเรียนบ้านเราไม่สอนให้เด็กใช้ชีวิตอย่างสมดุล เรียนวิชาการกันหนักหนาสาหัส  แต่เรียนรู้การหาความสุขให้ชีวิตน้อย ควรจะทำให้มีสม่ำเสมอมาตั้งแต่ระดับประถม ดีกว่าให้เด็กๆเก็บกดกันไว้ ใช้เวลาแต่อ่านตำราวิชาการอัดเข้าไปในสมอง

ดีใจที่ได้เห็นว่าเด็กๆยังมีความอ่อนน้อมน่ารัก แม้จะเฮฮากล้าแสดงออก มีสำนึกในการรักษาความสะอาดสถานที่ ไม่มีการทิ้งภาชนะเรี่ยราด แต่มีสิ่งหนึ่งซึ่งติดใจว่า ดูเหมือนเราลืมที่จะสอนให้เด็กๆรู้จักการใช้งบประมาณให้เหมาะสมกับงาน มีการทุ่มเทเงินเช่าชุดเพื่อการแสดงเพียงไม่นานด้วยราคาแพงจนน่าตกใจ เด็กๆได้แต่งตัวสวยงามและทุ่มทุนกันสุดๆ โดยที่เราสนับสนุนกัน ไม่รู้ว่าจะมีพ่อแม่สักกี่คนสอนให้เด็กๆคิดว่า เงินที่ทุ่มเทลงไปนั้นสมควรกับผลลัพธ์ที่ได้หรือไม่ เรายังคงสอนและสื่อสารให้เด็กๆรักษาหน้าตามากกว่ารักษาหลักการและเหตุผลกันอยู่มากทีเดียว น่าเสียดาย...

หมายเลขบันทึก: 68903เขียนเมื่อ 23 ธันวาคม 2006 00:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 16:49 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

เป็นผู้ปกครองคนหนึ่งค่ะ เสียดายมากที่ไม่ได้ไปดูเพราะติดภาระกิจหลายอย่าง  และลูกสาวสั่งห้ามไว้ว่าอย่าไปดู (ถูกสั่งประจำ)  เห็นด้วยว่าเด็กๆ สมัยนี้กล้าคิดกล้าแสดงออก  ไม่ปิดกั้นความคิดของตัวเองโดยการต้องทำอะไรตามหลังผู้ใหญ่อย่าเดียว  งานนี้เข้าใจว่าคุณครูให้โจทย์มาแล้วเด็กๆ ไปช่วยกันคิดช่วยกันทำ วางแผนงานต่างๆ  เพราะเห็นลูกสาวมานั่งเขียนบทละครจนมืดค่ำ  ซ้อมละครกันเป็นอาทิตย์ๆ เด็กๆ วิ่งติดต่อเช่าชุดกันเอง  ช่วยกันทำเวทีทำฉาก เห็นแล้วเหนื่อยแทนมากๆ เลย  แต่ก็แอบภูมิใจนิดๆ ว่าในอนาคตเด็กเหล่านี้น่าจะเก่งทั้งด้านเรียนและทำกิจกรรม  รู้จักใช้ชีวิตทั้งสองด้านเหมือนที่โอ๋บอก  แต่ที่น่าหนักใจก็อย่างที่โอ๋เขียนเช่นกันคือเรื่องการใช้เงินทุ่มทุนเช่าชุดกันแพงๆ  น่าจะพูดได้ว่าเด็กๆ ทำตามตัวอย่างที่มีให้เห็นตั้งแต่เรียนอนุบาลหรือประถมได้ไหม  ลูกใครที่ต้องแสดงบ่อยๆจะทราบดี  เพราะต้องจ่ายค่าเช่าชุด, ค่าแต่งหน้า จิปาถะ  ลูกสาวไม่ได้แสดงบ่อยแต่เข้าใจดีเลยค่ะ  เคยต้องซื้อเสื้อตัวละพันกว่าบาทให้ใส่เพื่อไปแสดงฮิบฮอบที่โรงเรียน จะได้เป็นแบบเดียวกับที่เพื่อนๆ ใส่และคุณครูดีไซน์ให้  ไม่รู้ต้องเริ่มต้นแก้ค่านิยมนี้ที่ใครก่อนดี

เรื่องค่าใช้จ่ายในเรื่องการแสดง การแต่งตัวเนี่ย ต้องเปลี่ยนค่านิยมที่ผู้ปกครองเป็นอันดับแรกเลย
เมื่อวานนี้เพิ่งได้ ลปรร.กับคุณจิ๊บ (คุณเมตตา)เรื่องการจ่ายค่าแต่งตัว ทำผม แต่งหน้าเด็กๆค่ะ มีปัญหาเดียวๆกัน พี่เม่ยจึงเสนอ good practice ของตัวเองไปว่าใช้ยุทธวิธี "แม่จัดให้" ทั้งหมดค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเกล้าผม แต่งหน้า ชุดไทยแบบไหนมาแม่แต่งได้หมด ที่สำคัญคือต้องชี้แจงเหตุผลเพื่อทำให้ลูกๆภูมิใจในสิ่งที่เราทำให้ และยอมรับได้ และไม่คิดว่าตัวเองน้อยหน้าเพื่อนๆ
คุณโอ๋ยกประเด็นนี้ขึ้นมา โดนใจจริงๆค่ะ
  โดนใจผมด้วยครับ พี่เม่ย 
      ผมว่าหลายครั้ง หลายที่ คำว่า "หน้าตา" ทำให้การใช้ "ปัญญา" น้อยลง  เช่นการติดเรื่องสินค้า Brand name การตามแฟชั่นแบบเกินพอดีเป็นต้น
    การรักษา "หน้าตา" ที่เป็นเปลือกนอก  ทำง่าย  ไม่ต้องใช้ความคิดมากนัก  เงินช่วยได้เยอะ  แต่ยังมี "หน้าตา" ที่เป็นแก่นสารกว่าให้เลือกรักษา และดูจะน่าสนใจกว่าเป็นไหนๆ  นั่นคือ การรักษาอิสรภาพ ที่จะไม่หลงมัวเมาอะไรตามกระแสไปง่ายๆ  ภูมิใจต่อการเอาชนะ ความหลงผิด ต่างๆที่คนทั่วไปเขายังแพ้มันอยู่ เป็นต้น

บางครั้งก็ไม่ใช่ว่าผู้ปกครองมัวแต่ระวังหน้าตาตัวเองจนไม่ใช้ปัญญา  เสื้อที่ครูสั่งให้ซื้อน่ะ ซื้อของราคาถูกแต่ตามสเปคครูแล้ว ไม่ผ่านประเมินค่ะ  ต้องกลับมาซื้อใหม่  คุณครูท่านเอาแบบที่เพื่อนคนอื่นซื้อมาบอกว่าต้องเป็นอย่างนี้เท่านั้น  แล้วจะให้ทำอย่างไร  ไม่ให้ลูกเราแสดงหรือ  เด็กก็ยังเล็กอยู่ประถมต้น  ไม่ว่าจะสอนอย่างไร  เด็กก็ยังเชื่อครูมากกว่าผู้ปกครอง  ที่ทำอยู่ก็คือค่อยๆ บอกไปเรื่อยๆ สอนอ้อมๆ แต่กว่าจะได้ผลคงช้าสักหน่อย 

ขอบคุณพี่เม่ยและคุณ Handy ค่ะที่มาช่วยยืนยันว่า เห็นด้วยในประเด็นค่านิยมการแต่งตัว และแถมยังมีวิธีการดีๆมาฝากไปยังพวกเราพ่อแม่ด้วย

สำหรับพี่แข-ผู้เฒ่า genetics ของเรา น้องพลอยเล่นเป็นตัวเอกของเรื่องเลยค่ะ เก่งมาก น่าทึ่งจริงๆ ที่สำคัญฉลาดรับบทมากค่ะ เพราะทั้งเรื่องแต่งชุดนอนเล่นค่ะ ไม่ต้องแต่งอะไรพิเศษเลย

ประเด็นเรื่องการแต่งตัว คิดว่าที่โรงเรียนนี้ คุณครูกำลังพยายามช่วยเด็กให้"คิด"มากขึ้นค่ะ แต่น่าเห็นใจคุณครู เพราะคุณแม่คุณพ่อหลายๆท่าน ได้ติดธรรมเนียมของโรงเรียนเดิม ที่เป็นแบบที่พี่แขพูดถึงมาเสียแล้ว ทำให้ไม่ยอมปรับลงมาให้เด็กทำเท่าที่จำเป็น ยังคงใช้วิธีการเดิมๆ ทุ่มเทจนเกินควรกับการแต่งตัว ก็คงเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ท่านอื่นๆที่จะต้องช่วยกันทำให้ลูกคิดได้ เหมือนที่ "ลูกแม่เม่ย" คิดได้นี่แหละค่ะ ไม่ง่ายแต่ก็ไม่สายที่จะช่วยกันค่ะ เพื่อให้ลูกเป็นตัวอย่างกับเพื่อนๆอีกที จะไปเปลี่ยนค่านิยมของผู้ใหญ่น่าจะยากกว่าเยอะมากค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท