คาถาแรกของมงคลสูตร คือ
ความหมายของคำว่าพาลและบัณฑิต ผู้สนใจดูใน พาลและบัณฑิต ซึ่งผู้เขียนได้อธิบายไว้แล้ว จะขยายความนัยสำคัญของคาถาแรกเท่านั้น...
เมื่อแรกเกิดยังเป็นทารก คงจะไม่มีใครกำหนดได้ว่าเราเกิดมาจะต้องเป็นอยู่หรือดำเนินชีวิตอย่างไร... การเลี้ยงดู การแนะนำสั่งสอน หรือสิ่งแวดล้อมต่างหากเป็นสิ่งที่ค่อยๆ กำหนดให้เราเป็นไปแตกต่างกัน...แต่ใช่ว่าสิ่งแวดล้อมแบบเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันจะกำหนดความเป็นไปที่เหมือนกันของคนเราได้... พี่น้องท้องเดียวกัน โดยที่สุดแม้ลูกฝาแฝดก็อาจมีความเป็นไปและอุปนิสัยแตกต่างกัน...ที่เป็นอย่างนี้เพราะเราทุกคนมี เจตจำนงเสรี ในการเลือกสรรค์สิ่งต่างๆ แวดล้อมตัวเราเองนั่นเอง...
ดังนั้น คาถาแรกในมงคลสูตรที่กำหนดให้เรา ไม่คบคนพาล และ คบบัณฑิต ไม่สามารถจะนำมาใช้ได้ตั้งแต่แรกเกิดเพราะเราไร้เดียงสาเกินไป... แต่จะค่อยๆ ใช้ได้เมื่อเราเริ่มเติบโตพอที่จะรู้เดียงสาแล้วเท่านั้น...
ถามว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นคนพาลหรือบัณฑิต เพราะคนพาลตามความเห็นของคนในสังคมหนึ่ง อาจเป็นบัณฑิตในอีกสังคมหนึ่งก็ได้...ดังนั้น จึงต้องมีมงคลข้อที่สามเข้ามาเพื่อจะช่วยแยกแยะให้เห็นคนพาลและบัณฑิต...นั่นคือ การบูชาผู้ควรบูชา
ผู้ควรบูชา คือ พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ พระราชา (หรือผู้ปกครอง) และพระบรมศาดาคือพระพุทธเจ้า ...นั่นคือ ถ้าเราบูชาท่านเหล่านี้แล้ว ท่านเหล่านี้ก็จะช่วยแนะนำหรือแยกแยะให้เราทราบได้ว่า คนพาลและบัณฑิตแตกต่างกันอย่างไร...(การบูชามีหลายนัย นัยตามความหมายนี้ก็คือการเชื่อฟังหรือเชื่อถือคำแนะนำของท่านเหล่านี้)
จริงอยู่ พ่อแม่อาจจะทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องไม่เหมาะสมบ้าง แต่อาศัยความรักใคร่ต่อลูกโดยไม่มีข้อแอบแฝง จึงต้องพยายามแนะนำลูกในสิ่งที่ดีที่สุด ...แต่ลูกบางคนอาจเป็น อภิชาตบุตร (เหนือพ่อเหนือแม่) มีความเห็นแย้งก็ต้องพึ่งพาปรึกษา ครูบาอาจารย์ ที่จะช่วยขยายความให้ชัดเจนได้ว่า คนพาลและบัณฑิต เป็นอย่างไร...
พระราชา (หรือผู้ปกครอง) ย่อมจะนำพาประเทศชาติหรือสังคมของตนไปสู่ความเจริญมั่นคง... ดังนั้น การแนะนำพสกนิกร (ผู้อยู่ร่วม) ถือว่าเป็นหน้าที่ เพื่อเป็นการพัฒนาบุคลากรในชาติหรือสังคม ...การบูขาโดยการเชื่อถือคำแนะนำของท่านก็พอจะบ่งชี้ได้เช่นกันว่า ใครคือพาล ใครคือบัณฑิต..
โดยที่สุด พระบรมศาดา คือ พระพุทธเจ้า ทรงกำหนดไว้แล้ว่าพาลและบัณฑิตเป็นอย่างไร ถ้าใครบูชาพระพุทธเจ้าโดยศึกษาหลักธรรมคำสอนแล้วก็อาจกำหนดได้ว่าคนพาลและบัณฑิตแตกต่างกันอย่างไร (นัยนี้ อาจใช้กับศาสนาทั้งหมดได้ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นพระพุทธศาสนาเสมอไป)
เฉพาะในพระพุทธศาสนามีเรื่องการกำหนดรู้คนพาลและบัณฑิตไว้หลายนัย ผู้เขียนจะแนะนำเบื้องต้นเท่านั้น
...........
หลักการหมายรู้คนพาล ๕ ประการ
๑. แนะนำสิ่งที่ไม่ควรแนะนำ
๒. ประกอบสิ่งที่มิใช่ธุระ
๓. การแนะนำสิ่งชั่วๆ เป็นความดีของคนพาล
๔. คนพาลแม้ผู้อื่นว่ากล่าวดีๆ ก็โกรธ
๕. ไม่รู้จักอุบายในการแนะนำ
.........
หลักการหมายรู้บัณฑิต ๕ ประการ
๑. ไม่แนะนำสิ่งที่ไม่ควรแนะนำ
๒. ไม่ประกอบสิ่งที่มิใช่ธุระ
๓. การแนะนำสิ่งดีๆ เป็นความดีของบัณฑิต
๔. บัณฑิตแม้ผู้อื่นว่ากล่าวดีๆ ก็ไม่โกรธ
๕. เข้าใจอุบายในการแนะนำ
.....
ฉะนั้น คาถาแรก คือ การไม่คบคนพาล การคบบัณฑิต และการบูชาผู้ควรบูชา จึงจัดเป็น หลักความเจริญก้าวหน้าเบื้องต้นของชีวิต ...ส่วนจุดเริ่มต้นของชีวิตจริงๆ จะเป็นอย่างไร นั่นคือ คาถาที่ ๒
เจริญพร คุณโยม Bright Lily
ด้วยความยินดีครับ...
ก็เขียนเล่นเรื่อยๆ นะครับ
เจริญพร
พระอาจารย์ครับ...
เคยได้ยินผู้คนเขากล่าวว่า...
ไม่ได้ด้วยเล่ห์...ก็ต้องเอาด้วยมนต์...
ไม่ได้ด้วยกล...ก็ต้องเอาด้วยคาถา...
ประการแรกที่ถาม...อย่างนี้เป็นนิสัยคนพาลด้วยหรือไม่...
ประการที่ 2 ความหมายของคำว่า เล่ห์ กล มนต์ คาถา(โดยเฉพาะคำนี้พระอาจารย์ใช้กับมงคลสูตร) มีทิศทางไปในด้านเลวหรือดีอย่างไรครับ...
คุณโยมขำ...
ตอบแบบวิชาเกิน
ประการแรก นำข้อความนั้นไปตรวจสอบกับหลักการหมายรู้คนพาลและบัณฑิต ถ้า เข้ากับ หรือ เป็นไปกับหลักการใด ก็สามารถสงเคราะห์ได้ว่าเป็นนิสัยคนพาลหรือไม่เป็น....
ประการที่ 2 ความหมายเหล่านั้น เมื่อจะประเมินค่าเป็น ดี หรือ เลว ...ก็ต้องระบุด้วยว่าจะประเมินค่าด้วยแนวคิดสำนักใด....
4 +1... 6 -1 ... 7 + 4 - 6...
เจริญพร
2+3....7-2.....1+2+2....7-5+3....8-4+3-2....
เล่ห์....คนเจ้าเล่ห์
กล...นักเล่นกล
มนต์... สดับเสียงสวดมนต์...
คาถา...ร่ายคาถาชินบัญชร...
บัณฑิตย่อมเห็นบัณฑิต...เป็นบัณฑิต....คนพาลเป็นคนพาล
คนพาลย่อมเห็นคนพาลและบัณฑิต....เป็นคนพาล
คุณโยมขำ....
ยินดีด้วย...คุณโยมเข้าใจภาษา (5 5 5) จะสัมพันธ์ตามนัยบาลีพอเป็นตัวอย่าง...
คนเจ้าเล่ห์...เล่ห์ เป็น วิเสสนะ ของเจ้า
นักเล่นกล...กล เป็น อวุตตกัมมะ ของเล่น
สดับเสียงสวดมนต์...มนต์ เป็น ฉัฎฐีกัมมะ ของสวด
ร่ายคาถาชินบัญชร...คาถา เป็น อวุตตกัมมะ ของร่าย...
เจริญพร
นมัสการ ท่านมหาชัยวุธ
ผมได้ตามมาอ่านแล้วครับ ก็คิดว่าชัดเจนว่าเราควรจะฟังใคร หรือไม่ต้องสนใจคำพูดของใคร
เป็นพระคุณอย่างยิ่งครับ
ท่านพระอาจารย์ครับช่วยอธิบายเรื่องเกี่ยวกับ
ยุคใดที่พระอภิธรรมปิฎกเป็นอภิปรัชญา มีผลดีหรือเสียอย่างไรครับ
ช่วยกรุณาตอบให้ผมเข้าใจหน่อยนะครับ
ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสุงครับ
พรศักดิ์
คำถามกว้างเกินกว่าจะตอบได้ นั่นคือ ต้องทำความเข้าใจหลายเรื่อง เช่น
ซึ่งบางหัวข้อเหล่านี้ อาตมาก็ไม่อาจจะตอบได้เลย และมีความเห็นว่าถ้าตอบและอธิบายหัวข้อเหล่านี้ได้หมด ก็คงจะเป็นงานวิจัยชิ้นสำคัญที่เดียว...
เจริญพร
ขอบพระคุณมากครับ
ผมมีปัญหาที่ไม่เข้าใจอีกครับ
ซี่งอันนี้เกี่ยวกับจิต
ซี่งผมขอถามเป็นข้อ ๆ ดังนี้นะครับ
1. จิต คือ ธรรมชาติที่รับรู้ได้ ในพระอภิธรรมปิฎกให้ความหมายของจิตในการรับรู้และการสัมผัสที่มีความแตกต่างกันยังไง ช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจด้วยครับ
2. จิต ที่ว่าธาตุรับรู้ได้ ธาตุสัมผัสได้ และธาตุที่รับรู้ไม่ได้ สัมผัสไม่ได้ คืออะไรครับ
3. อุเปกขาในพระอภิธรรม ในองค์ฌาน และพรหมวิหารธรรมมีข้อเหมือนกันหรือแยกต่างกันอย่างไร
4. อกุศลวิบากจิตมีกี่ดวง ในอเหตุกุศลวิบากจิตมีถึงกี่ดวง และดวงไหนที่เพิ่มพิเศษเขามา ช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจหน่อยนะครับ
เพราะว่าเรื่องนี้ผมได้เรียนและอ่านซึ่งไม่ค่อยเข้าใจซักเท่าไหร่เลยครับ
ผมขอรบกวนพระอาจารย์แต่เพียงเท่านี้ ขอขอบพระคุณพระอาจารย์เป็นอย่างสูงยิ่ง
กราบขอบพระคุณครับ
พรศักดิ์
เมื่อพิจารณาตามคำถามก็คาดหมายว่า คุณโยมอาจพอรู้บ้างแล้ว หรืออาจรู้ยิ่งกว่าอาตมาก็ได้ บอกตามตรงอาตมาขี้เกียจอธิบาย ถ้าคุณโยมสนใจด้านนี้จริงๆ ค้นหาในอินเทอร์เน็ต มีให้อ่านมากมาย หรือลอง (คลิกที่นี้)
คุณโยมอ่านไปคิดไป ถ้าวิริยะบารมีและปัญญาบารมีแก่กล้าก็คงจะเข้าใจ ส่วนอาตมาวิริยะบารมีก็ด้อยและปัญญาบารมีก็อ่อน จึงไม่ค่อยจะเข้าใจ...
โดยปกติ อาตมามักจะไม่ตอบคำถามในส่วนที่ค้นหาโดยง่ายจากอินเทอร์เน็ต ยิ่งปัญหานั้นมิใช่ประเด็นในบันทึกนั้นๆ ก็มักจะไม่ตอบ...
เจริญพร
หลักการหมายรู้คนพาล ๕ ประการ ๑. แนะนำสิ่งที่ไม่ควรแนะนำ ๒. ประกอบสิ่งที่มิใช่ธุระ ๓. การแนะนำสิ่งชั่วๆ เป็นความดีของคนพาล ๔. คนพาลแม้ผู้อื่นว่ากล่าวดีๆ ก็โกรธ ๕. ไม่รู้จักอุบายในการแนะนำ หลักการหมายรู้บัณฑิต ๕ ประการ ๑. ไม่แนะนำสิ่งที่ไม่ควรแนะนำ ๒. ไม่ประกอบสิ่งที่มิใช่ธุระ ๓. การแนะนำสิ่งดีๆ เป็นความดีของบัณฑิต ๔. บัณฑิตแม้ผู้อื่นว่ากล่าวดีๆ ก็ไม่โกรธ ๕. เข้าใจอุบายในการแนะนำ จากหลักการหมายรู้คนพาล สรุปได้ว่า คนพาล ก็คือ คนที่ประพฤติชั่ว ทำชั่ว หรือเรียกอีกอย่างก็คือ คนไม่ดีนั่นเอง ส่วนหลักการหมายรู้บัณฑิต สรุปได้ว่า บัณฑิต ก็คือ คนที่ประพฤติดี ทำดี หรือเรียกอีกอย่างก็คือ คนดี
**ไม่ว่าเชื่อชาติศาสนาไหนก็สามารถนำหลักการนี้ไปใช้ได้ จริงไหมค่ะพระอาจารย์ จากข้อสรุปถูกผิดอย่างไรโปรดชี้แนะด้วยค่ะ
เป็นความเห็นส่วนตัว ซึ่งคุณโยมสามารถพิจารณาเองได้...
อนึ่ง ในจริยศาสตร์อิสลาม นันจี (Nanji , Azim) ได้ประมาวลการกระทำไว้ ๕ ประการ กล่าวคือ
เมื่อพิจารณาหลักการหมายรู้คนพาลและบัณฑิต น่าจะตรงกับข้อที่สาม คือ ยอมรับได้ เพราะจัดว่าเป็นธรรมเนียมโบราณ...
เจริญพร