อนุทินล่าสุด


Jane_Amoure
เขียนเมื่อ

                                                          บันทึกอนุทิน                                              ครั้งที่ 6 วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557

วิชา การศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมแห่งการเรียนรู้ รหัสวิชา 102611ผู้สอน อาจารย์ ผศ.ดร.อดิสร เนาวนนท์

โดย นางสาว ณัฐพร เครือทองศรี รหัสนักศึกษา 57C0103102 ระดับปริญญาโท ภาคปกติ สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน

                ***************************************************************************************************

 

                                  ความรู้ที่ได้รับจากการศึกษาดูงานที่ โรงเรียน เทศบาล 4 ( เพาะชำ )

โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนที่เน้นการทำ KM : การจัดการความรู้ คือ เครื่องมือ เพื่อการบรรลุเป้าหมายอย่างน้อย 4 ประการไปพร้อมๆ กัน ได้แก่ 1) บรรลุเป้าหมายของงาน 2) บรรลุเป้าหมายการพัฒนาคน 3) บรรลุเป้าหมายการพัฒนาองค์กรไปเป็นองค์กรเรียนรู้ และ 4) บรรลุความเป็นชุมชน เป็นหมู่คณะ ความเอื้ออาทรระหว่างกันในที่ทำงาน จะ “ กระจ่าง “ เรื่อง ….. KM ต้องเห็นความแตกต่าง ระหว่าง “ ความรู้ 2 ประเภท “Explicit Knowledge ( ความรู้ภายนอก: ทฤษฎี ปริยัติ ) กับ Tacit Knowledge (ความรู้ภายใน : ภูมิปัญญา ประสบการณ์ เทคนิคเฉพาะตัว )KMส่วนใหญ่ “ ไร้พลัง” และ “ ไม่สมดุล” เพราะเน้นแต่ความรู้แบบ Explicit Knowledge แต่จริงๆความรู้ที่เราต้องการจัดการ คือ Tacit Knowledge เพราะเป็นความรู้ที่ยังไม่ได้ถูกถ่ายทอด / เผยแพร่ วิธีที่เราจะจัดการความรู้ 2 ประเภท นี้คือ Tacit Knowledge : นำความรู้ที่ได้จาก> นำไปปรับใช้ > แบ่งปัน > เรียนรู้ร่วมกัน > สร้างความรู้ยกระดับ Explicit Knowledge: นำความรู้ที่ได้จากขั้นตอนสุดท้ายของ Tacit Knowledge ไปตีความ > นำไปปรับใช้ > เรียนรู้ยกระดับ > รวบรวม / จัดเก็บ โรงเรียนนี้ได้ใช้วิธีการจัดการความรู้ตามที่ สคส. ส่งเสริมการจัดการความรู้ส่วนใหญ่โดยใช้แบบจำลอง “ โมเดลปลาทู “ โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ 1.ส่วนหัว KnowledgeVision : ต้องรู้ว่า KM ทำไปเพื่ออะไร 2.ส่วนกลางลำตัว Knowledge Sharing : เป็นส่วนหัวใจ ให้ความสำคัญของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน3. ส่วนหาง Knowledge Assets: สร้างคลังความรู้ สร้างเครือข่ายโดยใช้ ICT สร้างพลังจาก COPS และจุดเด่นของโรงเรียนนี้คือมีโมเดลเฉพาะของโรงเรียนที่เรียกว่า “เพาะชำโมเดล”รูปแบบของเพาะชำโมเดลมีดังนี้ 1. KV( เป้าหมายของการจัดการความรู้ ) > 2. เรื่องเล่าเร้าพลัง>3. แก่นความรู้ ( สกัดความรู้ โดยแยกเนื้อออกจากน้ำ )> 4. บันไดแลกเปลี่ยนเรียนรู้> 5. บันทึกแลกเปลี่ยน(สังเคราะห์เรื่องเล่าจากที่ฟัง)>6.AAR( After Action Review ) > 7.KA ( คลังความรู้ ) โดยคนสำคัญที่ดำเนินการจัดการความรู้ ผู้บริหารสูงสุด (CEO) คุณเอื้อ ( เอื้ออาทร ) คุณอำนวย (อำนวยความสะดวก ) คุณกิจ ( ผู้ปฏิบัติ ) คุณลิขิต ( คนคอยจดบันทึก) คุณประสาน ( ประสานงาน ) วิธีดำเนินการ ตั้งทีมงาน> ให้ความรู้ > กำหนด > ฝึกปฏิบัติ> ติดตาม……. ทำต่อเนื่อง > เผยแพร่ สรุป การจัดการความแบบเพาะชำโมเดล เป็นการสนับสนุนให้คณะครูได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้กัน เป็นอีกวิธีนึงที่ทำให้ได้คณะครูทุกคนได้รู้จัก สนิทกันมากขึ้น โดยจะมีวิธีการรวมกันเป็นกลุ่มบ้าง(กลุ่มละกลุ่มละ 5-8 คน) ในแต่ละอาทิตย์ก็จะส่งคนในกลุ่มมาพูด จับกลุ่มกันทำงานเป็นการสร้างความเป็นทีมภายในองค์กรอีกด้วย



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Jane_Amoure
เขียนเมื่อ


                                                               บันทึกอนุทิน                                ครั้งที่  5 วันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557

วิชาการศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมแห่งการเรียนรู้ รหัสวิชา 102611ผู้สอน   อาจารย์ ผศ.ดร.อดิสร เนาวนนท์
โดยนางสาว ณัฐพร  เครือทองศรี รหัสนักศึกษา 57C0103102 ระดับปริญญาโท ภาคปกติ สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน

               ********************************************************************************************

KM.( Knowledge Management : การจัดการความรู้ )เป็นกระบวนการในการนำความรู้ที่มีอยู่หรือที่ได้จากการเรียนรู้ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กรโดยกระบวนการต่างๆเช่น การสร้าง การรวบรวม การจัดเก็บ การแลกเปลี่ยน วงจรของ KM. มี 6 อย่าง คือ 1.การจัดการให้มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั่วทั้งองค์กร 2.การสื่อสาร สื่อเพื่อให้เข้าใจว่า องค์กรกำลังทำอะไร ทำเพื่ออะไร ทำเมื่อไหร่ ทำอย่างไร 3.กระบวนการและเครื่องมือ ช่วยให้กระบวนการความรู้เกิดขึ้นได้สะดวกและรวดเร็ว เลือกใช้ให้เหมาะสมระหว่าง TACIT KNOWLEDGE:ความรู้ที่แฝงในตัวคน เช่น ประสบการณ์ ทักษะ ภูมิปัญญา และ EXPLICIT KNOWLEDGE :ความรู้ที่เป็นรูปธรรม ความรู้ที่อยู่ในรูปแบบเอกสาร ส่วนเครื่องมือมี 2 ส่วน คือ เกี่ยวกับ IT และ ไม่เกี่ยวกับ IT ด้าน IT จะเข้ามาเกี่ยวข้องในขั้นตอน ค้นหา รวบรวมข้อมูล จัดเก็บข้อมูล เข้าถึงข้อมูล IT จะช่วยให้การแลกเปลี่ยนความรู้ประเภท EXPLICIT KNOWLEDGE ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4.กำหนดวิธีการแบ่งปันและแลกเปลี่ยนความรู้ให้เหมาะกับวัฒนธรรมขององค์กร การฝึกอบรมและการเรียนรู้ อบรมแนวทางและหลักการของ KM. ให้แก่บุคลากรเพื่อสร้างความเข้าใจและเห็นถึงความสำคัญของ KM.5.แบ่งปันและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่นำไปใช้ในงานประจำวันได้ 6.ยกย่อง ชมเชย ให้รางวัล สร้างแรงจูงใจที่สนับสนุนการแบ่งปันและแลกเปลี่ยนความรู้สรุปได้ว่า การที่เราเราจะทำให้ KM.มีประสิทธิภาพได้นั้นต้องประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบหลัก คือ คน สถานที่ และ สิ่งอำนวยความสะดวก รวมทั้งต้องมีกระบวนการ 6 อย่าง มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม เพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง
สิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการจัดการความรู้คือ1.การที่คิดว่าความรู้คืออำนาจ กลัวอำนาจจะหมดหรือหายไปจึงไม่แบ่งปัน/แลกเปลี่ยนความรู้คนอื่น 2.มองคนอื่นว่าอวดรู้ กลัวเขาว่าจึงไม่บอก ไม่อยากเป็นจุดเด่น ในสังคมไทยบางส่วนจะมองคนที่ชอบตอบคำถามว่าอวดฉลาดหรืออยากเอาหน้า แล้วก็จะโยนภาระให้คนที่ตอบได้เป็นผู้ทำงาน ฉะนั้นจึงไม่มีใครอยากตอบ อยากแสดงความเห็น เพราะกลัวได้รับผิดชอบงานแค่คนเดียว จริงๆแล้วเราน่าจะลองมาเปลี่ยนความคิดใหม่ว่าคนที่กล้าแสดงความคิดคือคนที่เก่ง ที่ยอมบอกความรู้ที่เขามีให้เราได้ฟัง ทุกๆคนจะได้แสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมา ทุกความคิดไม่มีผิด คิดแบบนี้จึงจะกล้าแสดงความคิดเห็นออกมา พอคิดได้อย่างนี้สังคมทุกๆที่ก็จะเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้อย่างแท้จริง

บรรยากาศในห้องเรียน

เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้เลยค่ะ ทุกคนได้มีการแลกเปลี่ยนความรู้ แสดงความคิดเห็นกันตลอด ได้ความรู้จากเพื่อนๆมากๆเลยค่ะ



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Jane_Amoure
เขียนเมื่อ

                                                                     บันทึกอนุทิน                             ครั้งที่ 4วันที่ 8กันยายน พ.ศ. 2557

                                 อบรมเรื่อง การพัฒนาการคิด                  โดย รศ.ดร.ประพันธ์ศิริ   สุเสารัจ
   
    
โดย นางสาว ณัฐพร   เครือทองศรี รหัสนักศึกษา 57C0103102 ระดับปริญญาโท ภาคปกติ   สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน

                  ********************************************************************************************

                                                                  ารจัดการเรียนรู้แบบ 4 MAT

           ก่อนที่จะเข้าเรื่อง การจัดการเรียนรู้แบบ 4 MAT จะขอพูดถึง ”สมอง”ก่อน สมองของมนุษย์ประกอบไปด้วย 2 ซีก จะมีซีกซ้าย กับ ซีกขวา

สมองซีกซ้าย จะมีศักยภาพเกี่ยวกับภาษา การฟัง ความจำ การวิเคราะห์ การ จัดลำดับ การคำนวณสัญลักษณ์ เหตุผลเชิงตรรกะ และวิทยาศาสตร์

สมองซีกขวา จะมีศักยภาพเกี่ยวกับจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์ ความรู้สึก การรับรู้ภาพรวม การรับรู้ทางประสาทสัมผัส ศิลปะความงาม รูปทรง รูปแบบ สี ดนตรี มิติสัมพันธ์ และการเคลื่อนไหว

เนื่องจากมนุษย์เกิดมาจะถนัดการใช้สมองไม่เหมือนกัน ฉะนั้นก็จะมีความสามารถต่างกันด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน เรื่องกีฬา เรื่องดนตรี เราจะเห็นได้ว่าบางคนเรียนไม่เก่งแต่เล่นกีฬาเก่ง เป็นต้น

          การจัดการเรียนรู้แบบ 4 MAT เป็นการจัดการเรียนรู้ตามวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละคน เช่น ชอบสังเกต ชอบฟังเฉยๆ ชอบทดลอง ชอบปฏิบัติ ชอบนำความรู้ไปปรับใช้ ไม่ชอบทำตามครูบอก อาจจะไม่ชอบทำอะไรเลย ชอบเป็นผู้ตามอย่างเดียว ซึ่ง มอร์ลิส(Susan Moris)และแมคคาร์ธี (Mc Carthy) พบว่า ผู้เรียนมีการใช้สมองแต่ละซึกต่างกัน ดังนั้น มอร์ลิสและแมคคาร์ธี จึงเสนอวิธีการเรียนรู้ของแต่ละคนออกเป็น 4 แบบ

1.พวกที่เรียนรู้จากการดู การสังเกต ซักถาม พูดคุย = WHY

      บทบาทของครูในแบบที่ 1 ครูเป็นผู้กระตุ้น สร้างแรงจูงใจให้กับผู้เรียนโดยการให้เขาฟัง ซักถาม คิด แล้วก็ตั้งคำถามว่า “ทำไม”

2.พวกที่เรียนรู้จากการฟัง คิด จดจำข้อมูล = WHAT

      บทบาทของครูในแบบที่ 2 ครูจะเป็นผู้บอก อธิบาย เล่ารายละเอียดว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งบทบาทนี้ครูจะเป็นผู้สอน ผู้เรียนจะมีหน้าที่ฟัง

3.พวกที่เรียนรู้จากการลงมือทำ ลงมือปฏิบัติ = HOW

      บทบาทของครูในแบบที่ 3 ครูจะเป็นผู้ชี้แนะ สร้างสถานการณ์ ผู้กำกับ ซึ่งขั้นนี้ผู้เรียนจะเป็นผู้ลงมือปฏิบัติ

 4.พวกที่เรียนรู้จากการคิดค้น ทดลอง พิสูจน์ จินตนาการ ค้นพบความรู้ด้วยตนเอง = IF

      บทบาทของครูในแบบที่ 4 ครูจะเป็นผู้ประเมิน ผู้เรียนจะเป็นผู้ค้นคว้า แสวงหาความรู้ใหม่ๆ เช่น ครูให้นักเรียนปลูกต้นคริสมาสด้วยปุ๋ยธรรมชาติ ขณะเด็กปลูกก็จะเห็นว่าต้นไม้เป็นยังไง ผู้เรียนมักจะถามว่า “ถ้า…” (If) เช่น ถ้าปลูกด้วยปุ๋ยวิทยาศาสตร์ล่ะ จะได้ไหม ใช้ทิชชู่แบบถั่วงอกได้ไหม เป็นต้น

           สรุป การเรียนรู้แบบ 4 MAT คือการดึงความสามารถเฉพาะตัวของผู้เรียนออกมา ให้ผู้เรียนได้ใช้ความสามารถของตนเอง ไม่ว่าผู้เรียนจะเป็นแบบที่1 2 3 4 ต่างก็เป็นความสามารถทั้งหมด ไม่ได้หมายความว่าแบบที่ 2ที่นั่งฟังเฉยๆจะเป็นคนไม่ฉลาด แต่เขาสามารถเข้าใจจากการฟังมากกว่า ในความคิดของผู้เขียนการเรียนรู้แบบนี้เป็นการเรียนรู้ที่ดีแบบหนึ่ง เป็นการทำให้เด็กรู้ เข้าใจว่าตัวเองมีความสามารถแบบไหน เหมือนกับการอ่านหนังสือ บางคนอ่านหนังสือไปต้องฟังเพลงเบาๆ บางคนต้องอ่านเสียงดังๆถึงจะจำได้ เป็นต้น

 อ้างอิง

หนังสือ การพัฒนาการคิด ฉบับ ปรับปรุงใหม่ ของ รศ.ดร.ประพันธ์ศิริ  สุเสารัจ



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Jane_Amoure
เขียนเมื่อ

The Virtues Project.docx


                                                                    บันทึกอนุทิน                      ครั้งที่ 3วันที่ 25-26 สิงหาคม พ.ศ. 2557
                                             อบรมเรื่อง The Virtues   Project โดย Derek W. Patton
โดย นางสาว ณัฐพร เครือทองศรี รหัสนักศึกษา 57C0103102 ระดับปริญญาโท ภาคปกติ สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน

                            ************************************************************************************************

1.มีข้อสงสัยอะไรบ้าง?แล้วได้คำตอบที่ตัวเองสงสัยไหม? ถ้าได้ คืออะไร?

      ต้องยอมรับเลยค่ะว่า ตอนแรกได้ยินว่ามีอบรม The Virtues Projectก็ยังงงนะคะคืออะไรพอมาเห็นชื่อวิทยากรยิ่งงงกว่าเดิมเลยค่ะว่า   แล้วจะฟังรู้เรื่องหรอ? พอได้ฟังการบรรยายจบ   ได้รู้ว่า The Virtues   Projectคือ   การใช้คำพูดกับผู้อื่นด้วยความอ่อนน้อม พูดแบบสุภาพ รู้จักขอบคุณ ขอโทษ ผู้อื่น   และควรบอกเหตุผลเวลาพูดขอบคุณ

เช่น Thank you for   your helpfulness in carrying the packages.ประโยคนี้แปลได้ว่า   ขอบคุณที่คุณช่วยถือของให้นะคะ คือ เราบอกเหตุผลที่เราขอบคุณเขาด้วย

ประโยคขอบคุณสามารถใช้ได้กับทุกๆคน ทุกๆที่   เช่น เราไปทำผม ช่างทำผมให้เราเสร็จเราก็บอกว่า ขอบคุณที่ทำให้เราสวยนะคะ   จะทำให้คนฟังรู้สึกดีขึ้น 90% เราก็ได้สิ่งที่ดี   คนฟังก็รู้สึกดี เป็นสิ่งที่เรียกได้ว่า มีแต่ได้กับได้ ได้ทั้งความสุข   ได้มิตรภาพใหม่ด้วย

          สรุป เราควรระมัดระวังในการใช้คำพูด   เพราะบางทีเราพูดๆไป ไม่ได้คิดอะไร แต่คนฟังถ้าฟังแล้วไม่คิดอะไรก็ไม่เป็นไร   แต่ถ้าเขาฟังแล้วเก็บไปคิดมาก คนที่เสียใจก็คือเขา   เพราะเราไม่รู้หนิว่าทำให้ใครเสียใจ อาจจะทำให้เสียมิตรภาพไปได้ง่ายๆ   คำพูดเมื่อเราได้พูดไปแล้ว มันเอาคืนไม่ได้ ก่อนพูดเราเป็นนายของคำพูด   แต่หลังจากพูดไปแล้วคำพูดเป็นนายเรา ฉะนั้นเราควรจะคิดก่อนพูด คิดถึงใจเขา ใจเรา   ให้มากที่สุด

2.บรรยากาศในห้องเรียนเป็นยังไง

        บรรยากาศในห้องเรียนเป็นแบบเน้นให้ผู้เรียนร่วมกันอภิปรายกันในกลุ่ม   สิ่งนี้ทำให้ดิฉันได้มีโอกาสรู้จักเพื่อนใหม่ๆ มีทั้งพี่ๆปริญญาเอก   พี่ๆภาคพิเศษคณะอื่นๆอีก ทุกคนให้ความสนใจเป็นอย่างดี และร่วมมือในงานที่ได้รับมอบหมาย   ทำให้ในห้องเรียนเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ภาพคนช่วยกันทำงาน   เป็นภาพที่หาได้ยากจริงๆในสังคมสมัยนี้   เพราะสังคมสมัยนี้เป็นสังคมที่มีการแข่งขันสูง   จึงไม่ค่อยเห็นภาพแบบนี้สักเท่าไหร่   แต่ภาพแบบนี้สามารถเห็นได้จากห้องเรียนห้องนี้ที่ได้ชื่อว่า The   Virtues Project



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Jane_Amoure
เขียนเมื่อ

ดร.ปกรณ์ สุปินานนท์.docx

                 

                                                                     บันทึกอนุทิน                           ครั้งที่ 2วันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2557

                             อบรมเรื่อง Flipped Classroom ห้องเรียนกลับด้าน โดย ดร.ปกรณ์   สุปินานนท์
   
โดยนางสาว ณัฐพร  เครือทองศรี รหัสนักศึกษา 57C0103102 ระดับปริญญาโท ภาคปกติ   สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน

                         ********************************************************************************************

มีข้อสงสัยอะไรบ้าง?แล้วได้คำตอบที่ตัวเองสงสัยไหม? ถ้าได้ คืออะไร?

     -ได้คำตอบค่ะ ตอนแรกที่ได้ยินคำว่า Flipped Classroom ห้องเรียนกลับด้าน ก็งงมากค่ะ คิดไปหลายอย่างเลยค่ะว่าหรือว่าให้เราดูว่ามิติของห้องเรียนคืออะไร ห้องเรียนควรเป็นยังไงที่จะทำให้เด็กสนใจ คิดแล้วก็งงๆว่าเกี่ยวกับหลักสูตรและการสอนตรงไหน พอฟัง ดร.ปกรณ์ สุปินานนท์ ค่อยหายสงสัยค่ะว่า Flipped Classroom คือ กระบวนการเรียนการสอนแบบหนึ่งที่เปลี่ยนรูปแบบจากเมื่อก่อนคือ ครูบรรยายหน้าชั้นเรียน แล้วให้การบ้านเด็กไปทำที่บ้าน ก็เปลี่ยนมาเป็นครูให้เด็กไปหาข้อมูลหรือศึกษาที่บ้าน อาจจะด้วยวิธีการ ดูจากทีวี อินเตอร์เน็ท เนื่องจากสมัยนี้ สื่อและเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในสังคมมาก ข้อมูลต่างๆแค่พิมพ์ใน google ก็สามารถรู้ได้ทุกอย่างในโลกนี้ แล้วก็เอาการบ้านมาทำที่ห้องเรียน อาจจะมาทำพร้อมกับเพื่อน หรือครูคอยดูเวลาเด็กทำก็ได้ เนื่องจากเวลาเด็กทำการบ้าน แล้วติดขัด คนที่เด็กต้องการเจอมากที่สุดก็คือครู แต่ครูไม่อยู่ด้วยแล้วเด็กจะถามใคร พอไปถึงโรงเรียนครูก็คอยเฉลย แล้วจะถามว่าเข้าใจไหม ต้องเข้าใจสังคมเมืองไทยก่อนว่า เราจะคิดว่าคนตอบไม่ได้คือคนโง่ ฉะนั้นเด็กก็จะไม่กล้าตอบว่า ไม่เข้าใจ ฉะนั้นจึงเกิด Flipped Classroom ขึ้น คอนำการบ้านมาอภิปรายกันในห้อง ครูจะได้รู้ว่าเด็กเข้าใจจริงหรือป่าวและเป็นการแก้ปัญหาการสอนแบบ นกแก้ว นกขุนทอง ท่องอย่างเดียวไม่ได้เข้าใจ ถ้าเราใช้วิธีการเข้าใจ เราจะไม่มีวันลืมสิ่งนั้น แต่ถ้าเราจำเพื่อสอบ หลังจากสอบเสร็จก็ลืม

       สรุป Flipped Classroom เป็นการเรียนการสอนแบบใหม่ โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เนื่องจากคำนึงว่าเรียนแบบท่องจำผู้เรียนอาจจะไม่ได้ความรู้อย่างแท้จริง จึงได้มีวิธีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการสอนใหม่ โดยยึดนักเรียนเป็นศูนย์กลางในความคิดของดิฉันข้อเสียของการเรียนการสอนแบบนี้คือ เด็กไทยมีนิสัยขี้อาย และ ขี้เกรงใจ อาจจะทำให้ยังไม่เปิดใจกับวิธีการสอนนี้มากเท่าที่ควร



ความเห็น (1)

ก็ยังเป็นการบ้านเพียงแต่เปลี่ยนคำพูด ยังไงเด็กก็ว่าการบ้านครับ..ผู้ปกครองก็ยังบ่นว่ามากเหมือนเดิม

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท