อย่าเร่งรีบเจรจา.....จะเสียทีโจร


 

          สถานการณ์ ๓ จังหวัดชายแดนใต้  ปัจจุบันยังคงมีเหตุการณ์ร้ายแรงเป็นรายวันเช่นเดิม และดูเหมือนว่าจะร้ายแรงมากขึ้นกว่าเดิม โดยที่ทางรัฐบาลก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่า กลุ่มหรือบุคคลใดอยู่เบื้องหลัง  จากการที่มีโอกาสได้พูดคุยกับชาวบ้านที่อพยพหนีภัยจาก ๓ จังหวัดชายแดนใต้มาอาศัยกับญาติพี่น้องในเมืองกรุงและจากการติดตามสถานการณ์จากหนังสือและสื่ออื่นๆ พอได้ความว่า  ขบวนการโจรก่อการร้ายได้ส้องสุมกำลังผู้คนเอาไว้ แบ่งเป็น ๓ กลุ่ม กำหนดดีเดย์ก่อนสิ้นปี ๒๕๔๙ หรืออย่างช้า ต้นปี ๒๕๕๐
         กลุ่มที่หนึ่ง     เป็นหน่วยกล้าตาย จบวิทยายุทธ์มาจากต่างประเทศ ภายใต้การนำของหัวหน้าโจร ใช้ชื่อจัดตั้งว่า “ดอเยาะ” ซึ่งรับบัญชามาจากสะแปอิง เจ้าของโรงเรียนธรรมวิทยา คนของดอเยาะส่วนหนึ่งมาจากอาเจะห์ เป็นนักรบชั้นแนวหน้า  ทั้งสองกองกำลัง มีการเตรียมพร้อมที่จะก่อความไม่สงบขั้นรุนแรง
        กลุ่มที่สอง     มีหัวหน้าโจรชื่อ “มะแซ อุเซ็ง” ค่าหัว ๕ ล้านบาท มะแซอุเซ็งมีอำนาจใหญ่โตมาก ถ้าพวกโจรปัตตานีได้รับชัยชนะ  มะแซ อุเซ็ง จะได้รับตำแหน่งเป็น ผบ.ทบ. และจะได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
       กลุ่มที่สาม       มีหัวหน้ามากมายหลายคน รวบรวมกองกำลังหญิงและเด็กเอาไว้ขึ้นยึด      ที่ทำการของรัฐ เช่นสถานีตำรวจ  ศาล วัด ศาลาประชาคม มีเป้าหมายจะปิดล้อมค่ายทหาร และตำรวจ บังคับให้ยอมจำนน กลุ่มโจรจะบุกเข้ายึดพระราชวังทักษิณราชนิเวศน์ แล้วจะใช้เป็นที่ประกาศเอกราช
        ถ้าแผนการต่างๆ ไม่สามารถไปสู่เป้าหมายได้ โจรปัตตานี จะใช้วิธีก่อกวนทำความเสียหายให้เกิดขึ้นจนทนไม่ไหว การฆ่าตัดคอ เผาดิบ หรือเอามีดเชือดให้เป็นคดีฮือฮา ทำลายความศรัทธาของประชาชนว่า รัฐไม่มีความสามารถทำให้ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้สงบลงได้ จะทำให้เกิดการกดดันในรูปแบบต่างๆ หนักหน่วงยิ่งขึ้น
        เรื่องจริงที่โจรทำได้แล้วในวันนี้ (๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ ) ได้แก่การยึดเงียบอำนาจรัฐได้สำเร็จ โจรสามารถควบคุมมวลชนได้ครบทุกพื้นที่ พวกข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และคนพุทธกลายเป็น “ตุ๊กตาไขลาน” เดินกะย่องกะแย่งเหมือนคนตายทั้งเป็น เรื่องจริงอีกเรื่อง ได้แก่ ไม่มีใครรู้ว่า “หัวหน้าผู้บงการใหญ่” อยู่เบื้องหลังคือใคร      ฝ่ายราชการเพ่งเล็งไปที่สะแปอิงโรงเรียนธรรมวิทยาว่าเป็นหัวหน้า ซึ่งก็อาจใช่ เพราะว่าผู้ที่จะถูกเปิดตัวให้เป็นผู้นำสูงสุดในวันประกาศตั้งรัฐปัตตานีได้แก่ “สะแปอิง” อย่างแน่นอน เนื่องจากมีฐานะทางสังคมที่สร้างสมเอาไว้สูงฝึก “นักรบ” เอาไว้มาก  พวกนักรบของสะแปอิงเป็นนักเรียนนักศึกษาระดับเยาว์วัย  ซึ่งสมัยหนึ่งเคยมีภาพหลุดลอดออกมาว่าเป็นภาพฝึกการรบในป่า  และหนังสือพิมพ์เอาไปลงข่าวเป็นที่ฮือฮา แต่ต่อมาไม่กี่วัน......กลับมีข่าวออกมาจากหน่วยเหนือว่าเป็นภาพนักเรียนแต่งแฟนซี ไม่ใช่เป็นภาพนักศึกษาฝึกอาวุธ นั่นแสดงให้เราเห็นว่า “ไส้ศึก” ทำงานสกัดกั้นเพื่อปกป้องพวกเขาอย่างได้ผล

                                       


            อย่างไรก็ตาม มนต์ขลังที่จะได้ใครมาเป็นผู้นำของประเทศที่แท้จริงนั้น เป็นอีก         ขั้นตอนหนึ่ง  เมื่อถึงตอนนั้นจะมีหัวหน้าใหญ่ “เบอร์ซาตู ชื่อ ดร.วัน กาเดร์” จากกัวลาลัมเปอร์ รวมทั้งพวกหัวหน้าใหญ่จาก ซาอุดิอาระเบียหรือกลุ่มประเทศอาหรับทั้งหมด หรือต่อไป ถึงหัวหน้าใหญ่ในประเทศสวีเดน อเมริกา และยุโรป จะพากันลงมติว่าจะเลือกใครมาเป็นสุลต่านองค์แรก รัชทายาทราชวงศ์ที่แท้จริงของเชื้อสายสุลต่าน......ถูกเก็บเอาไว้ในความลี้ลับเขาลือกันว่าประดาแกนนำต่างๆ รู้กันแล้วว่าเป็นใคร 
            ในเบื้องต้นของขั้นตอนนี้ที่สำคัญคือกำลังอยู่ในช่วงของการเตรียมยึดเมืองให้เป็นที่เปิดเผย ซึ่งโจรเองก็ยังไม่รู้ว่าจะยึดอย่างไร จึงจะทำให้เป็นที่เปิดเผยได้  สถานการณ์ในเวลานี้ พวกแกนนำเขากำลังพยายามคิดหาหนทางใน ๒ ปัญหา  คือ
             ปัญหาที่หนึ่ง    ขณะนี้โจรยึดอำนาจรัฐได้แล้วเกือบหมด แต่ยังไม่สามารถหาหนทางประกาศแบบเปิดเผยได้
             ปัญหาที่สอง     โจรกำลังวางแผนขั้น “ยึดเมือง” แล้วหาทางประกาศให้เป็นที่เปิดเผยแก่ชาวโลกต่อไป
            บรรยากาศในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนใต้  แนวร่วมทุกคนอันหมายถึงประชาชน ยังคงไปไหนมาไหนได้ด้วยความสะดวก เพราะเป็นอิสลามและอยู่ในกลุ่มแนวร่วมของโจรปัตตานี ลักษณะเช่นนี้แหละที่แสดงว่าโจรยึดเมืองได้แล้ว แต่เป็นที่รู้กันในหมู่ประชาชนเท่านั้น ยังไม่ได้ประกาศให้ชาวโลกรู้ ซึ่งพวกแกนนำกำลังพยายามหาหนทางประกาศอยู่   ประชาชนชาวไทยพุทธชาวหาดใหญ่สงขลาเองก็ตกอยู่ในอาการขรึม ซึมเศร้า ฝังลึก รู้สึกว่าชีวิตไม่ปลอดภัย หากโจรปัตตานีได้ครอบครองพื้นที่ ๓ จังหวัด มันก็จะกระทบร้ายแรงถึง ๕-๖ จังหวัดและก็คงจะไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้น
             องค์กรอิสลามโลกก็กำลังจ้องมองอย่างตาไม่กระพริบ และพร้อมที่จะหยิบยกให้เป็นปัญหาระดับนานาชาติ  ถ้าหากพบว่าปัญหาที่เกิดในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนใต้ นั้นเข้าเกณฑ์ ๓ ประการ คือ
                            ๑. มีการจัดตั้งองค์กรที่เด่นชัด
                            ๒.มีการเจรจาทางการเมืองกับรัฐบาล
                            ๓. มีการสู้รบในพื้นที่
             ขณะนี้เองการสู้รบในพื้นที่ก็ยังมีอยู่อย่างปกติ มีการสูญเสียชีวิตของทหาร  ตำรวจและประชาชนผู้บริสุทธิ์ แต่ก็ไม่สามารถจับมือใครดมได้ ชาวบ้านก็ว่าเป็นฝีมือของฝ่ายบ้านเมือง การระเบิดและลอบฆ่าประชาชนก็ไม่มีองค์กรใดออกมารับผิดชอบ  ส่วนการเจรจาอย่างเป็นทางการกับทางราชการก็ยังไม่เกิดขึ้น
            เมื่อเร็วๆนี้ทางรัฐบาลก็บอกว่าจะมีการเจรจากับกลุ่มผู้ก่อการร้ายเพื่อจะให้เหตุการณ์ในภาคใต้สงบเสียที ฟังดูก็น่าจะเป็นทางออกที่ดี แต่เมื่อพิจารณาตามเกณฑ์ ๓ ข้อ ดังกล่าวข้างบนแล้ว มันก็คงอาจเข้าทางกลุ่มก่อการร้ายพอดี  เพราะข้อแรกที่ว่ามีการจัดตั้งองค์กรที่เด่นชัดนั้นมันก็คงไม่ยากสำหรับแกนนำกลุ่มโจรที่จะแสดงตนออกมา เพื่อหวังจะประกาศให้เป็นที่เปิดเผยแก่ชาวโลกต่อไป  คราวนี้แหละกลุ่มองค์กรอิสลามโลกและนานาชาติก็คงพร้อมที่จะยื่นมือเข้ามาแทรกแซงกันเต็มที่ เพราะผลประโยชน์นั้นมันมหาศาล ไม่เฉพาะดินแดนที่ถูกแยกออกไปทรัพยากรในท้องทะเลอีกมากมาย  ต้องขอบคุณพลเอกพัลลภ  ปิ่นมณี ที่ท่านออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลจะเจรจากับกลุ่มโจรใต้  คนเราแค่จิ้งจกทักเราก็ยังฟัง นี่ท่านเป็นนายทหารเก่าที่เชี่ยวชาญการรบแบบกองโจรและทุกรูปแบบทักท้วงทั้งทีก็ควรจะฟังกันไว้บ้าง สมานฉันท์แค่สมเหตุสมผลก็เพียงพอแล้วนะ อย่าตามใจกับกลุ่มโจรกันนักเลย

                                                         โดย   คนบ้านเดียวกัน
                                   
             ( ตัดตอนจากหนังสือ “กระเทาะเปลือกไฟใต้ใครบงการ”  ของสะอาด  จันดี )

คำสำคัญ (Tags): #แนะแนว วิจัย
หมายเลขบันทึก: 99378เขียนเมื่อ 29 พฤษภาคม 2007 12:57 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 18:02 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

มูฮัมมัดนั่นหรือ คือใครกันแน่.....? ท่านศาสดามูฮัมมัดน่ะหรือ.....อย่าไปชื่นชมงมงายนักเลย ท่านก็เป็นมนุษย์ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ที่ใช้ความเป็นหนุ่มรูปงาม อายุน้อย ผูกมัดใจสาวใหญ่สูงอายุผู้มั่งคั่ง เพื่อการดำรงชีพ แล้วขอแต่งงานด้วย เพื่อครอบครองทรัพย์นำไปเป็นประโยชน์แก่ตนเอง หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งว่า “ เกาะเมียกิน ” ก็ได้ จึงกลายมาเป็นลักษณะนิสัยของหนุ่มมุสลิมทั่วไปในปัจจุบัน

เพราะการที่ท่านศาสดามูฮัมมัดมีเมียแก่ แต่ไม่ค่อยจะมีความสุขในครอบครัว ไม่พอใจในชีวิตการครองคู่แบบผัวเดียวเมียเดียว จึงกำหนดกฎเกณฑ์ให้ผู้ชายมุสลิมมีเมียได้ ๔ คน

แต่พอมีเมียคนใหม่เป็นเด็กอายุน้อย ๆ ตั้งแต่คนที่ ๒ ก็เกิดความหวงแหนกลัวเมียเด็กจะไปปันใจให้ชายอื่นที่หนุ่มกว่า จึงบังคับให้เมียเด็กคลุมหน้าคลุมตา ไม่ให้ผู้ชายคนอื่นมองเห็นความงดงามของเมียน้อยตัวเอง และเพื่อมิให้เป็นข้อครหา จึงกำหนดกฎเกณฑ์ให้ผู้หญิงมุสลิมทุกคนต้องคลุมหัวปิดหน้า

ท่านศาสดาเป็นคนที่มีอีโก้สูง อยากโดดเด่นเหนือคนอื่น จึงคิดหาวิธีการตั้งตนเป็นใหญ่ด้วยการจัดตั้งลัทธิความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวกัน คือ “ อัลเลาะฮ์ ” และการที่ทุกคนจะติดต่อกับอัลเลาะฮ์ ได้ ก็จะต้องติดต่อผ่านท่านศาสดามูฮัมมัดเท่านั้น คนอื่น ๆ ไม่เก่ง ไม่บริสุทธิ์ ไม่ดีเลิศ เท่าท่านศาสดา ความคิดนี้ จึงไปขัดแย้งกับสาวกของพระเจ้าองค์อื่น ๆ ที่พวกเขานับถือกันอยู่ ซึ่งก็คือ เผด็จการทางความคิดนั่นเอง จึงเกิดสงครามต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ในการครอบครอง “ หินกาบะห์ ” สถานที่ศักด์สิทธิ์ของพระเจ้าหลายองค์ในขณะนั้น

การต่อสู้ทางความคิด และสงครามทางอาวุธ ของท่านศาสดามูฮัมมัดในระยะแรก พ่ายแพ้ยับเยิน ต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุน ถูกตามล่าจนแทบเอาชีวิตไม่รอด จึงหาวิธีปลุกระดมมวลชน สาวกกลุ่มใหม่ให้ยอมสละชีวิตร่างกายในการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของตัวท่านมูฮัมมัดเอง แต่อ้างว่าเป็นโองการจากอัลเลาะห์ ให้การต่อสู้ในครั้งนั้น เป็นการต่อสู้ทางศาสนา โดยกำหนดหลักการที่ว่า การเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น ที่มีความเชื่อแตกต่างไปจากพวกของศาสดามูฮัมมัดไม่ผิด และจะได้บุญ ได้ไปพบกับอัลเลาะฮ์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นพระเจ้าผู้วิเศษ ศักดิ์สิทธิ์ให้คุณให้โทษ สร้างและทำลาย ให้พรและสาปแช่ง ต่อมวลมนุษย์ สัตว์ สิ่งของ ที่มีในโลก และนอกโลก ( ทุกอย่างเป็นประสงค์ของอัลเลาะฮ์ )

แท้จริงความหมายของ “ อัลเลาะฮ์ ” ก็คือ “ ความเป็นจริงของธรรมชาติ” ( ผลย่อมเกิดแต่เหตุปัจจัยที่เหมาะสม ) แต่ศาสดามูฮัมมัด ได้กำหนดความหมายให้เห็นเป็นรูปธรรมว่า “ อัลเลาะฮ์ ” เป็นองค์เทวะผู้วิเศษที่จะบันดาลอะไรก็ได้ตามคำร้องขอของท่านศาสดามูฮัมมัด ผู้ติดต่อกับอัลเลาะฮ์ได้โดยตรงเพียงคนเดียวเท่านั้น

เมื่อศาสดามูฮัมมัดชนะสงครามทางความเชื่อ ตั้งตัวเป็นศาสดาของศาสนาอิสลามแล้วจึงกำหนดกฎของอัลเลาะฮ์ขึ้นเป็นหลักความคิดความเชื่อของศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นเผด็จการทางความคิด คล้ายกับพรรคคอมมิวนิสต์ทั่วโลก คือ........

มุสลิมต้องเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว ( อัลเลาะฮ์ ) โดยผ่านทางศาสดามูฮัมมัดคนเดียว เช่นเดียวกับสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ต้องเชื่อในอุดมการณ์ของพรรคโดยผ่านคนของพรรคเท่านั้น

ทั้งมุสลิมและสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ ห้ามสงสัยในคำสอน ห้ามสงสัยในคำสั่งของพรรค ต้องอุทิศร่างกาย และชีวิตแด่ศาสดา หรือพรรค

กฎของพรรคคอมมิวนิสต์ เปรียบเสมือนเป็นโองการของศาสดา ที่กำหนดเป็นคำภีร์ ( กุรอาน ) ที่ต้องเชื่อและปฏิบัติตามหนทางเดียว

นบีมูฮัมมัด เป็นเจ้าของกฎเกณฑ์ความคิดความเชื่อ และหลักการทางศาสนา เช่นเดียวกับ มาร์ค – เลนิน เป็นเจ้าของแนวคิดและอุดมการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์เหมือนกัน

หลักการความเชื่อของพรรคคอมมิวนิสต์ ก็คือหลัก ความคิด ความเชื่อของอิสลาม

อิสลามคือศาสนาของคนบาป

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท