Play Theory น่าจะตรงกับวัฒนธรรมไทยคือ "สนุก" การสร้างบรรยากาศที่มีความสนุกสนานจากกิจกรรมการทำงานจะทำให้เกิดความร่วมมือ เกิดความคิดใหม่ ๆ ได้ง่ายขึ้น
บรรยากาศที่สนุกสนานช่วยให้แกนนำ KM และผู้นำองค์กร/หน่วยงาน สามารถเสาะหาเครื่องมือใหม่ ๆ, สร้างปฏิสัมพันธ์ใหม่ ๆ รวมทั้งหาทางสร้างกลไกความร่วมมือข้ามพรมแดนหน่วยงาน
การประยุกต์ใช้ Play Theory มี 3 ประการ
1. ตรวจสอบสภาพแวดล้อมเชิงกายภาพ ว่าเหมาะสมต่อการส่งเสริมให้เกิดความคิดใหม่ ๆ เครื่องมือใหม่ ๆ ในสถานที่ทำงานอย่างไรบ้าง
2. เรียนรู้และปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง ผ่านปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันและร่วมกันสะท้อนความรู้สึก (reflect) ออกมา
3. เสาะหาสิ่งใหม่หรือสิ่งที่ไม่คุ้นเคย ที่ช่วยทำให้ผลงานประจำของทีมดีขึ้น
บรรยากาศที่สนุก ช่วยลดความแข็งตัวของโครงการทดลอง (pilot) ช่วยทำให้เกิดบรรยากาศที่เป็นอิสระ ผู้คนเปิดใจ สะท้อนความคิดเกี่ยวกับการทดลองวิธีทำงานแบบใหม่ออกมาจากใจ เกิดบรรยากาศที่ไม่เป็นทางการ ลดความแข็งตัวของเครื่องมือวัดต่าง ๆ ที่ทำให้คนกลัวหรือวิตกกังวล เมื่อมีโครงการทดลองเกิดขึ้น
บรรยากาศที่สนุก ทำให้เครื่องมือประเมินผลต่าง ๆ ถูกปรับลงมาให้ดูไม่น่ากลัว มีการปรับเครื่องมือต่าง ๆ ให้เข้ากันกับวัฒนธรรมองค์กร
Play Theory มีประโยชน์มากในกรณีที่องค์กรต้องการแสวงหานวัตกรรม หรือต้องการทำงานภายใต้สภาพที่ซับซ้อน, ไม่ชัดเจนและมีการเปลี่ยนแปลงแบบไม่ต่อเนื่อง (discontinuous change) ความสนุกจะช่วยเปิดประตูให้องค์กรเข้าสู่ประสบการณ์ใหม่ วิธีคิดใหม่ และช่วยสร้างบรรยากาศแห่งความร่วมมือและบรรยากาศแห่งการแสวงหา
Ref. Standards Australia. Knowledge management - a guide. AS 5037 - 2005
วิจารณ์ พานิช
5 เม.ย.50
ไม่มีความเห็น