เมื่อวัน สองวันนี้ ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือ เกี่ยวกับสุขภาพบ้างเกี่ยวกับการรักษาของแพทย์แผนอนาคต (เรียกถูกหรือเปล่าก็ไม่รู้) เป็นการดูแลรักษาสุขภาพ โดยไม่ใช้ยาแผนปัจจุบันเลย ...........
มีหนังสือให้อ่าน อยู่ สอง-สามเล่ม เรื่องหลักคือทำไมคุณถึงเป็นโรค เป็นต้น เรื่องราวในหนังสือทำให้ผมไม่แน่ใจในเรื่องอาหารที่ทานอยู่ทุกวัน แถมเมื่อวาน น้องที่ทำงานเอาแบบแผนของอาหาร และตารางเวลาของอวัยวะต่าง ๆของร่างกายว่าทำงานหนักช่วงไหน หรือใน 2-3 ชั่วโมงนี้เป็นชั่วโมงของอวัยวะส่วนใดแล้วควรรัปทานอาหารอย่างไร?
จากหนังสือเหล่านี้ทำให้ได้ความรู้ขึ้นมาอีกอย่างคือ ข้าวหอมมะลิแดง เป็นข้าวให้ความร้อน นอกเหนือจากให้คาร์โบไฮเดรตแล้วข้าวหอมมะลิธรรมดาให้ความเย็น กับคาร์โบไฮเดรต เพราะฉะนั้นเราต้องทานทั้งข้าวหอมมะลิแดงและข้าวหอมมะลิธรรมดาในปริมาณที่เหมาะสมร่างกายเราจะไม่เกิดโรคภัย .......เป็นต้น
แล้วมาเรื่องกล้วยอีก ปกติ กล้วยเกือบทุกชนิดมักจะมีรสเย็น หรือให้ธาตุน้ำแก่ร่างกาย แต่จะมีกล้วยอย่างเดียวที่ให้รสเย็นตลอด คือกล้วยหอม นอกนั้น เมื่อเรานำมาปรุงด้วยความร้อน กล้วยที่ให้ธาตุน้ำก็จะกลายเป็นให้ธาตุไฟแทน เพราะฉะนั้นจะเป็นอันตรายสำหรับบุคคลที่เกิดในธาตุไฟ จะร้อน........ไปหมดทั้งระบบร่างกาย เมื่อร้อนเจอร้อนจะเกิดพิษเย็นขึ้นมาแทนที่ เราก็ป่วยอีก ร้อนก็ป่วย เย็นก็ป่วย แปลกดีน๊ะ
มาเยี่ยม...ชอบทานกล้วยน้ำว้าไม่รู้จะร้อนไหมครับ...
เขาบอกว่าเป็นยาดี...
สวัสดีครับ ....อาจารย์ยูมิครับ.......ต้องขอโทษด้วยครับที่ตอบคำถามอาจารย์ช้าไปนิดครับ
กล้วยน้ำว้า เป็น ผลไม้รสเย็น และธาตุน้ำ ขณะที่ยังดิบก็จะมีธาตุลมประกอบด้วย จึงไม่เหมาะจะรับประทานตอนดิบครับ เมื่อสุก รสหวาน เย็น ให้ธาตุน้ำแก่ร่างกาย ทานมากจะทำให้ถ่ายสะดวกครับ
ส่วนเมื่อสุกจัด นำไปแปรรูปเป็นกล้วยอบน้ำผึ้ง หรือกล้วยตาก ก็จะมีธาตุไฟเล็กน้อย นับว่าสมบูรณ์เมื่อเป็นกล้วยตาก หรือกล้วยอบน้ำผึ้งครับ
แต่จะมีธาตุร้อน เป็นธาตุไฟ ได้ก็ต่อเมื่อ นำไปปรุงด้วยไฟ เช่น กล้วยทอด , กล้วยปิ้ง, กล้วยย่าง ,กล้วยต้ม และกล้วยหมก ครับ นิยมรับประทานในช่วงปลายฝนต้นหนาวครับ.....