มีข้อสังเกตจากการประชุมเมื่อวันก่อนครับ คือมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่าข้อสอบปรนัยของไทย ค่อนข้างง่าย เมื่อดูสี่คำตอบ สามารถตัดออกไปได้เลยสองคำตอบ เพราะรู้แน่ว่าผิด (เหมือนคำถามตามเกมโชว์ที่กะแจกรางวัลอย่างเดียว)
แต่ข้อสอบปรนัยที่มีคุณภาพ ควรจะวัดความรู้ของผู้สอบได้อย่างชัดเจน คือมีคำตอบที่ถูก 100% อยู่ข้อเดียว ส่วนทางเลือกข้ออื่นๆ ถูกบ้างแต่ไม่ถูก 100%
ไม่ใช่เรื่องเสียหายไม่ใช่หรือครับ ถ้าจะออกข้อสอบที่มีคำตอบยาวออกไปสักนิด แต่สามารถวัดความสัมฤทธิผลของการเรียนรู้ได้จริง
สวัสดีค่ะคุณ Conductor
สาเหตุหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะผู้ออกข้อสอบไม่รู้และไม่เข้าใจเนื้อหาอย่างถ่องแท้ และอาจจะไม่ทุ่มเทให้กับการออกข้อสอบอย่างเต็มที่
แม้จะยังไม่มีประสบการณ์ แต่คิดว่าการออกข้อสอบให้ดีมีคุณภาพนั้น ต้องใช้พลังภายในและความรู้ความสามารถสูงระดับหนึ่ง หลายท่านเอาพลังออกมาใช้ไม่หมดจึงยังไม่สามารถออกข้อสอบที่วัดผลของการเรียนรู้ได้จริงค่ะ
ขอบคุณค่ะ
ณิช
เรื่องสาเหตุนี่ คนนอกอย่างผมคงออกความเห็นไม่สะดวกหรอกนะครับ ได้แต่ตั้งข้อสังเกต รอฟังความเห็นบรรดาคณาจารย์ครับ
สวัสดีค่ะ
ตอนนี้ อาจารย์พยายามช่วยให้ลูกศิษย์สอบได้ และได้ดีๆด้วยค่ะ ถ้าออกข้อสอบยากไป นักเรียนก็ทำไม่ได้ ผลงานอาจารย์ก็ไม่ค่อยดีไปด้วยค่ะ
บางที หากเราให้ความสำคัญกับปัญหาเฉพาะหน้าเกินไป ก็อาจออกข้อสอบที่ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องออกมาได้นะครับ เช่น
ก) ไม่ยุบ-ไม่ยุบ
ข) ยุบ-ไม่ยุบ
ค) ไม่ยุบ-ยุบ
ง) ยุบ-ยุบ
กรณีนี้ เด็กไม่สับสน เพราะเขาจะมั่วมาหนึ่งคำตอบอยู่ดี แต่เขาจะไม่ได้อะไรมา เพราะไม่รู้ว่าทำไมตัวเองจึงควรเลือกคำตอบนั้น
ก) ไม่ยุบ-ไม่ยุบ
ข) ยุบ-ไม่ยุบ
ค) ไม่ยุบ-ยุบ
ง) ยุบ-ยุบ
.... ไม่เลือกข้อใด ส่งกระดาษเปล่า...
เจริญพร
เอื๊อก ไม่มีคำตอบ ยุบหนอ-พองหนอ ;-)
ในประเด็นของการออกข้อสอบ จะดีกว่าไหมครับที่อธิบายเหตุผลด้วยแทนให้เลือก ขาว-ดำ/ถูก-ผิด
การที่เด็กจบการศึกษาออกมา แต่ทำงานไม่ได้นั้น เป็นการใช้เวลาสี่ปีทำลายอนาคตอีกหลายสิบปีนะครับ
มี account แล้ว ยินดีต้อนรับอีกทีครับ
ผมเห็นด้วยว่าการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ คงจะเป็นเรื่องเพ้อเจ้อถ้าจะทำคนเดียวครับ แบบนี้ต้องหาแนวร่วมครับ -- แล้วเมื่อเราเติบโตขึ้นไปในหน้าที่การงาน ก็อย่าลืมว่าเวลานี้เรารู้สึกอย่างไรกับความไม่ถูกต้องนะครับ
สวัสดีค่ะ
ยุบ/ไม่ยุบ/..../....
ตอบ ไม่ยุบ
เท่าที่อ่าน เท่าที่ดู เท่าที่เห็น การศึกษาไทยในวันนี้ดูเหมือนจะเน้นทฤษฎีเป็นหลัก เน้นคะแนน เน้นผลสัมฤทธิ์ทางด้านวิชาการ เน้นผลิตคนเก่ง ผลผลิตของการศึกษาไทยที่ส่งเข้าสู่สังคมในยุคนี้จึงมักมีปรากฏการณ์แปลกๆให้เห็นตลอดเวลา บุคลากรในสังคมแก่งแย่งแข่งขัน ดิ้นรนพัฒนารายได้ แบบไม่เลือกวิธีการ ใครดีใครได้ ตัวใครตัวมัน พวกใครพวกมัน การดิ้นรนที่จะได้ศึกษา เงินเป็นตัวตั้ง เงินน้อยขาดโอกาสศึกษา อนาคตได้แค่ลูกจ้างระดับล่าง ที่ต้องดิ้นรนเพื่อเงิน นักศึกษามีค่านิยมวัตถุ การแต่งกายล่อแหลม ใช้เงินเปลือง เครื่องดื่มมันเมาและสารเสพติด ขายบริการทางเพศ สร้างอิทธิพลด้วยกิจกรรมรับน้อง ผิดหวังรัก/เรียนก็โดดตึกฆ่าตัวเอง ในวัยการศึกษาภาคบังคับ ก็เรียนไปเล่นไป แต่หนักไปทางเล่น ไม่รู้จักความรับผิดชอบคือสิ่งใด ไม่ได้เงินไม่ไปเรียน ไปไม่ถึงโรงเรียน ไม่มีแฟนถือว่าตกเทรน ท้องระหว่างเรียน ติด0 ติด ร ก็แค่ซ่อม ไล่ลงไประดับประถม เรียนไปวันๆ เพราะทุกคนก็ไปเรียน ทางบ้านบังคับให้ไปเรียน สนุกสนานไปวันๆ เดี๋ยวเย็นก็กลับบ้าน คะแนนเรียนคะแนนสอบได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ให้ก็เอา ไม่ให้ก็ไม่เอา ปีหน้ายังไงก็ได้เลื่อนชั้น ให้สอบ NT สอบไปทำไม ให้สอบก็สอบๆให้เสร็จไป จะได้ไปเฮกับเพื่อนๆซะที หันไปดูผู้ปกครองส่วนใหญ่ ดิ้นรนเพื่อเงินตลอดเวลา ตั้งแต่ก่อนสว่างยันดึกดื่น ตั้งหน้าหาแต่เงิน เช้าก็ยันเงินใส่มือลูก ไล่ให้รีบไปโรงเรียน เย็นมีข้าวให้กินในครัว ช่วยเหลือตัวเองก็แล้วกันพ่อแม่งานยุ่ง บางรายทำโอจนดึก
ทุกอณูของสังคมหายใจเป็นเงิน นับถือเงินเป็นพระเจ้า หาเงินซื้อวัตถุ สร้างแต่วัตถุ เป็นสังคมวัตถุนิยม บริโภคนิยม แม้แต่ในระบบสถานศึกษา ก็เน้นเงิน เน้นวัตถุ ผู้สอนก็ดิ้นรนพัฒนารายได้ของตนเอง สร้างผลงานโกหกหลอกลวงเพื่อเสนอเลื่อนขั้น เลื่อนเงินเดือน ส่วนใหญ่ต้องละทิ้งผู้เรียน เบียดบังเวลาของผู้เรียน เดินเข้าไปในวัดพบแต่วัตถุที่ทุกวัดก็แข่งกันสร้าง เร่งหาเงินทุกวิธี ทุ่มเทเงินที่ได้เพื่อการสร้างๆๆๆๆ วัตถุ ละทิ้งการให้ปัญญาประชาชน
หลายๆสิ่งที่พบเห็นในสังคมวันนี้ บ่งบอกความจริงอย่างหนึ่ง นั่นคือ "การศึกษาไทยล้มเหลวโดยสิ้นเชิง" จะโทษใครได้ แต่ลองมองดูที่หัวแถว หัวเป็นอย่างไรหางก็เป็นอย่างนั้น หัวไปทางไหนหางก็ไปทางนั้น